เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 10 มี.ค. ร.ต.ต.ระวิพันธ์ สุวรรณรัตน์ พงส.(สบ 1) สน.บางพลัด รับแจ้งมีผู้เสียชีวิตบนสำนักงานเขตบางพลัด
ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงและเขตบางพลัด ฝั่งธนบุรี ไปตรวจสอบ พร้อมผู้เกี่ยวข้องและแพทย์นิติเวช รพ.ศิริราช บริเวณจุดลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพช่วยเหลือผู้สูงอายุตามนโยบายของรัฐบาล ชั้นที่ 2 พบเจ้าหน้าที่และชาวบ้านยืนมุงร่างของชายชราที่สิ้นลมหายใจไปต่อหน้าต่อตาด้วยความเศร้าสลด ทราบชื่อผู้เสียชีวิตนายสำเริง ทัดเทียมสุข อายุ 73 ปี อยู่บ้านเลขที่ 358 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 58 แขวงและเขตบางพลัด สวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีส้ม นุ่งกางเกงขายาวสีเทา ในเบื้องต้นแพทย์ตรวจสอบ แล้ว สันนิษฐานว่าเสียชีวิตเพราะหัวใจวายเฉียบพลัน
จากการสอบสวนนางบุญจันทร์ เทียนมั่น อายุ 68 ปี น้องสาวผู้ตายให้การว่า ก่อนเกิดเหตุเศร้าสลด ตนกับผู้ตายและพี่สาวอีก 1 คน พากันเดินออกจากบ้านซึ่งตั้งอยู่ห่างจากสำนักงานเขตบางพลัดประมาณ 500 เมตร
เพื่อไปยื่นเอกสารลงทะเบียนขอรับเงินสวัสดิการช่วยเหลือผู้สูงอายุของรัฐบาลคนละ 500 บาทต่อเดือน แต่เนื่องจากอากาศร้อนอบอ้าวมากประกอบกับพวกตนก็อายุมาก ทำให้เมื่อไปถึงสำนักงานเขต นายสำเริงบ่นว่าแน่นหน้าอกและหายใจไม่ออก ระหว่างนั่งรอเพื่อยื่นเอกสาร จู่ๆ พี่ชายก็ทรุดลงไปกองกับพื้นนอนแน่นิ่งหมดสติ ตนกับเจ้าหน้าที่สำนักงานเขตเข้าไปช่วยเหลือปฐมพยาบาลและปั๊มหัวใจ แต่ก็ไม่สามารถช่วยชีวิตนายสำเริงให้ฟื้นคืนมาได้ ภายหลังตรวจชันสูตรเบื้องต้นเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ได้ส่งศพไปผ่าชันสูตรหาสาเหตุที่แท้จริงที่ รพ.ศิริราช
วันเดียวกัน นายอิสสระ สมชัย รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ให้สัมภาษณ์ว่า จากการตรวจสอบนายสำเริง ทัดเทียมสุข ไม่ได้เสียชีวิตเพราะความแออัดของสถานที่
หรือมีผู้ไปลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพกันจำนวนมาก แต่เกิดจากผู้ตายมีอายุมากแล้ว ระหว่างที่นั่งพักเหนื่อยเกิดหน้ามืดเป็นลมหมดสติแล้วเสียชีวิตอย่างเฉียบพลัน ทั้งนี้ ในทางกฎหมายถือว่าสิทธิในเบี้ยยังชีพ 500 บาทของนายสำเริงยังไม่เกิดขึ้น เนื่องจากรัฐบาลจะเริ่มจ่ายเบี้ยยังชีพดังกล่าวให้ช่วงเดือน เม.ย.เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่กระทรวงช่วยเหลือในรูปเงินสงเคราะห์จำนวน 2,000 บาท แก่ ครอบครัวผู้เสียชีวิตไปแล้ว ทั้งนี้ จนถึงขณะนี้มีผู้สูงอายุทั่วประเทศไปลงทะเบียนเพื่อขอรับเบี้ยยังชีพ 500 บาทต่อเดือน ตามที่รัฐบาลจะจ่ายงวดแรกเป็นเวลา 6 เดือน แล้วทั้งสิ้น 1.96 ล้านคน จากเป้าที่ตั้งไว้ว่าจะมีผู้สูงอายุมาลงทะเบียนประมาณ 3 ล้านคน ใช้งบกลางทั้งสิ้น 9,000 ล้านบาท แต่หากถึงวันที่ 15 มี.ค.แล้ว มีผู้สูงอายุมาลงทะเบียนไม่ถึง 3 ล้านคน ก็จะไม่มีการขยายระยะเวลาการลงทะเบียน