เมื่อเวลา 02.45 น. วันที่ 17 ก.พ. ร.ต.ท.จักรพงษ์ เหลืองอ่อน ร้อยเวร สภ.กะทู้ จ.ภูเก็ต
รับแจ้งเกิดเหตุเพลิงไหม้ศูนย์การค้าจินตนาพลาซ่า ตั้งอยู่ริมถนนเลียบชายหาดป่าตอง (ทวีวงศ์) ต.ป่าตอง จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ จาก นั้นรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุพร้อมด้วย พล.ต.ต.อภิรักษ์ หงษ์ทอง ผบก.ภ.จ.ภูเก็ต พ.ต.อ.กฤษศักดิ์ สงมูลนาค ผกก.และกำลังตำรวจจำนวนหนึ่ง
ที่เกิดเหตุเป็นศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ชั้นล่างแบ่งเป็นล็อกขนาดความกว้าง 1.50x1.50 เมตร ให้ผู้ประกอบการรายย่อยเช่าเปิดเป็นร้านขายเสื้อผ้า รองเท้า นาฬิกา และของที่ระลึกกว่า 300 ล็อก ส่วนชั้น 2 และ 3 แบ่งเป็นสำนักงานให้เช่า พบเปลวเพลิงลุกไหม้แดงฉานบริเวณชั้นล่างที่เปิดให้เช่าขายเสื้อผ้าและของที่ระลึก เปลวเพลิงลุกลามขยายวงกว้างไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากเสื้อผ้าและรองเท้าเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เจ้าหน้าที่ต้องระดมรถดับเพลิงจากเทศบาลเมืองป่าตองกว่า 10 คัน เข้าฉีดน้ำสกัดไฟเพื่อไม่ให้ลุกลามไปย่านบาร์เบียร์และโรงแรมที่อยู่บริเวณใกล้เคียง การดับไฟเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากมี กลุ่มควันพวยพุ่งปกคลุมอยู่ภายในจำนวนมาก เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานกว่า 1 ชม.จึงสามารถดับเพลิงเอาไว้ได้ พบว่าร้านค้ากว่า 20 ร้าน และแผงลอยอีกกว่า 50 แผง ถูกเผาวอดเป็นจุณ ค่าเสียหายเบื้องต้นคาดว่าไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท
ปมสมบัติพันล้าน วางเพลิง เผาพลาซ่าดัง!
สอบสวนได้ความว่า
ช่วงเกิดเหตุไม่มีใครอยู่เนื่อง จากเป็นเวลาปิดทำการ นักท่องเที่ยวสังเกตเห็นเปลวเพลิงลุกไหม้ขึ้นภายในศูนย์การค้าจึงแจ้งให้ตำรวจทราบ ขณะเดียวกันตำรวจตรวจสอบทราบว่าศูนย์การค้าแห่งนี้เคยเกิดเพลิงไหม้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 13 ก.พ. ที่ผ่านมา ในครั้งนั้นพื้นที่ถูกไฟไหม้ได้รับความเสียหายบางส่วน ค่าเสียหายกว่า 10 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ได้กันพื้นที่ไว้เป็นเขตหวงห้ามและเปิดส่วนที่เหลือให้ผู้ประกอบการขายสินค้าต่อ กระทั่งมาเกิดเพลิงไหม้อีกเป็นครั้งที่สอง
เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานสาเหตุ 3 ประเด็น
คือประเด็นแรกเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ประเด็นที่ 2 เกิดจากความขัดแย้งภายในเกี่ยวกับผลประโยชน์จากการจัดเก็บรายได้ไม่ลงตัว มีการฟ้องร้องกันเองในเครือญาติพี่น้อง 2 คดี และประเด็นที่ 3 ขัดแย้งกับผู้ประกอบการรายเก่า เนื่องจากเจ้าของต้องการนำพื้นที่ ไปให้ผู้ประกอบการรายใหม่เช่าแทน แต่ผู้ประกอบการรายเดิมไม่ยอมจนกลายเป็นข้อพิพาทกันมานาน อย่างไร ก็ตาม ทั้งหมดเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ส่วนสาเหตุที่ชัดเจนตำรวจจะได้ประสานกองวิทยาการเขต 44 เข้าไปตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง
สำหรับศูนย์การค้าจินตนาพลาซ่า เป็นของนางจินตนา บุรินทร์โกษฐ์ เศรษฐินีพันล้านของเกาะภูเก็ตและยังมีธุรกิจอื่นๆอีกหลายแห่งรวมทั้งที่ดินจำนวนมาก
เปิดให้ผู้ประกอบการรายย่อยเช่าพื้นที่จำหน่ายสินค้าให้กับนักท่องเที่ยว หลังจากที่นางจินตนาล้มป่วยด้วยโรคเส้นเลือดในสมองแตกต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา ญาติพี่น้องจึงเข้ามาดูแลจัดการผลประโยชน์ทั้งหมด แต่ภายหลังมีความขัดแย้งกันรุนแรงเรื่องแบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัว นางคมคาย โฆสิตคุณ อายุ 51 ปี น้องสาวคนที่ 3 ของนางจินตนาจึงร้องต่อศาลขอเป็นผู้อนุบาลดูแลสิทธิทั้งหมดแทน สร้างความไม่พอใจให้กับเครือญาติเป็นอย่างมาก ต่อมานางคมคายตรวจสอบพบว่ามีอดีตตำรวจชั้นประทวนคนหนึ่งที่เคยติดตามนางจินตนาและยังเป็นน้องชายของนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่งในภูเก็ต ปลอมแปลงเอกสารที่ดินของนางจินตนาหลายแปลงในพื้นที่หาดป่าตองแล้วนำไปขายให้กับนายทุนชาวต่างชาติมูลค่าหลายร้อยล้านบาท นางคมคายเตรียมรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับตำรวจคนดังกล่าว แต่ก็มาถูกยิงเสียชีวิตไปก่อน
คดีนี้ญาติได้ร้องขอให้ตำรวจกองปราบปรามลงไปทำคดีแทน
โดยเชื่อว่าตำรวจคนดังกล่าวอยู่เบื้องหลังการสังหารนางคมคาย ประกอบกับตำรวจชุดสืบสวนได้รับเบาะแสว่าผู้บงการรายนี้ได้ว่าจ้างทีมสังหารจากซุ้มมือปืนกำนันคนหนึ่งใน จ.พัทลุง ด้วยวงเงินสูงถึง 5 ล้านบาท ให้สังหารนางคมคาย จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานกระทั่งจับกุมนายอรุณ จันทร์มา อายุ 39 ปี หนึ่งในทีมสังหารเอาไว้ได้ เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 51 นำตัวไปสอบสวนเบื้องต้นให้การว่า ได้รับการว่าจ้างให้สังหารนางคมคายได้รับเงินส่วนแบ่งเพียงแค่ 1.5 แสนบาท โดยมีผู้รับงานมาอีกทอดหนึ่ง ส่วนผู้บงการตัวจริงไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่ หลังจากที่ตำรวจเค้นสอบอยู่หลายวัน ในที่สุดนายอรุณยอมให้การซัดทอดถึงเพื่อนร่วมแก๊งที่เหลืออีก 5 คน ในจำนวนนี้มีนายปลอบ หรือวิโรจน์ อิสสระ อายุ 47 ปี อยู่บ้านเลขที่ 47/1 หมู่ 6 ต.เกาะหมาก อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง มีตำแหน่งเป็นกำนันตำบลเกาะหมากรวมอยู่ด้วย ตำรวจจึงได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับนายปลอบ แต่นายปลอบชิงเข้ามอบตัวกับตำรวจภาค 8 เมื่อตอนสายของวันที่ 17 ก.พ. พร้อมให้การปฏิเสธ
พล.ต.ท.สัณฐาน ชยนนท์ ผบช.ภ.8 กล่าวว่า
เบื้องต้นแม้นายปลอบผู้ต้องหาจะให้การปฏิเสธ แต่ทางเจ้าหน้าที่มั่นใจในพยานหลักฐานที่มีอยู่ เชื่อว่าจะสาวถึงตัวผู้บงการได้ อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ต้องหาร่วมก่อเหตุที่ได้ออกหมายจับแล้วและยังหลบหนีอยู่อีกจำนวน 4 คน ประกอบด้วย นายโสภณ หรือภณ รัตนะ อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1 หมู่ 1 ต.เขาชัยสน อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง นายอภิโชค หรือเอก อินทสระ อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 135 หมู่ 1 ต.บางเหรียง อ.ควนเนียง จ.สงขลา นายนัน ด้วนเล็ก อายุ 38 ปี อยู่บ้านเลขที่ 311/5 ต.ทับเที่ยง อ.เมืองตรัง และนายวิริโย หรือโย จวนอ่อน อายุ 40 ปี อยู่บ้านเลขที่ 66 หมู่ 13 ต.เขาชัยสน อ.เขาชัยสน จ.พัทลุง โดยแจ้งข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน, พยายามฆ่าผู้อื่น มีอาวุธปืนเครื่องกระสุนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนเข้าไปในเมืองหรือหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร