คือ คำให้การของ นายกิตติธัช หรือ "แบงค์" เพชรเจริญศรี อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาในคดีฆ่าปาดคอ น.ส.เอื้อมพร สิทธิน้อย อายุ 25 ปี พนักงานสาวโรงงาน ย่าน จ.พระนครศรีอยุธยา โดยตำรวจจับกุมไอ้แบงค์ได้ที่หอพักแห่งหนึ่ง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก หลังจากฆ่ากิ๊กสาวแล้วหนีไปกบดานอยู่พักใหญ่
แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นคุก!!
หลังก่อคดีสยอง ตำรวจติดตามพฤติกรรมนายกิตติธัชอยู่ตลอด เจ้าหน้าที่รู้ตัวมือฆ่าทันทีด้วยซ้ำ แต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้ เพราะหมอเข้าไปอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยเป็นการ์ดพันธมิตร ร่วมเรียกร้องการเมืองใหม่
ตำรวจต้องรอให้การชุมนุมสลายจึงตามไปจับตัวไว้ได้
ขืนเข้าไปจับกลางม็อบ จะกลายเป็นโดนโจมตีว่ารับใบสั่งทักษิณมาอีก!?!
ย้อนไปดูเหตุฆาตกรรมครั้งนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 18 พ.ย.
เกิดเหตุคนร้ายฆ่าน.ส.เอื้อมพร สาวโรงงานไพโอเนียร์ จ.พระนครศรีอยุธยา ตายคาห้องเช่าเลขที่ 203 ชั้น 2 หอพักครูฉวีเพลส ม.4 ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา โดยคนร้ายใช้มีดปังตอปาดเข้าที่ลำคอเหยื่อเป็นแผลฉกรรจ์ กระดูกลำคอขาด ที่ขาถูกเฉือนเป็นแผลลึก ศีรษะแตกเลือดอาบ ศพโผล่ฟ้องในวันรุ่งขึ้น
เป็นคดีใหญ่ที่ตำรวจเร่งล่าฆาตกร!!
หลังเกิดเหตุ พล.ต.ต.นเรศ นันทโชติ ผบก.พระนครศรีอยุธยา สั่งตามล่ามือฆ่าทันที มอบหมายให้ พ.ต.อ.ธาตรี ตั้งโสภณ พ.ต.อ.วุฒิพงษ์ เพชรกำเนิด รอง ผบก. ติดตามคดีอย่างใกล้ชิด โดยมี พ.ต.อ.สมบัติ ชูชัยยะ ผกก.สภ.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.ท.นฤนาท พุทไธสง รอง ผกก.กลุ่มงานสืบสวน ร.ต.อ.พิภพ นาพุทรา รอง สว.กลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ทำหน้าที่ปิดคดี
ตอนแรกเจ้าหน้าที่ยังไม่รู้ว่าคนร้ายเป็นใครมาจากไหน แต่เมื่อสอบพยานทั่วไปจึงรู้ว่าในช่วงหลังผู้ตายพาชายหนุ่มคนหนึ่งมาอยู่ด้วยที่ห้องในฐานะแฟน ตำรวจจึงขยายผลลงไป ด้วยเพราะชายคนนี้มาอยู่กับน.ส.เอื้อมพรได้ไม่นาน จึงทำให้พยานจำหน้าไม่ได้ เจ้าหน้าที่จึงต้องคิดหาวิธีใหม่ เบนเข็มไปดูกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งอยู่ใกล้ที่พักผู้ตาย และแล้วทุกอย่างก็เข้าทางเมื่อเจ้าหน้าที่ไปพบภาพคนร้ายเดินคู่กับน.ส.เอื้อมพร หาซื้อของในร้านเซเว่นฯ หน้าปากซอยที่พักอาศัยในวันที่ 18 พ.ย. ที่ผ่านมา
พอได้ภาพคนร้ายเจ้าหน้าที่จึงนำไปเปรียบเทียบในแฟ้มประวัติทำให้รู้ว่าผู้ชายในภาพ คือ นายกิตติธัช ซึ่งมีบ้านเดิมอยู่เลขที่ 61/32 ม.16 ต.คลองสาม อ.คลอง หลวง จ.ปทุมธานี ตำรวจจึงออกตามล่า ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานก็มีสายรายงานเข้ามาว่า หลังก่อเหตุนายกิตติธัชได้ไปอยู่กับกลุ่มม็อบพันธมิตร โดยทำหน้าที่เป็นการ์ดอาสา เลยทำให้เจ้าหน้าที่ไม่กล้าเข้าไปจับกุม เพราะเกรงว่าอาจเกิดความวุ่นวายขึ้นได้ จะกลายเป็นเรื่องการเมืองไปกันใหญ่
ตำรวจจึงได้แต่เฝ้าดูพฤติกรรมไว้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังขยายผลพบด้วยว่านายกิตติธัช มีภรรยาอยู่ที่ จ.พิษณุโลก จึงประสานตำรวจสองแควเฝ้าประกบไว้
โผล่มาเมื่อไหร่เป็นโดนรวบเมื่อนั้น
เจ้าหน้าที่ต้องทำเป็นนิ่งอยู่นานเพื่อรอเวลาให้การชุมนุมสลาย จนกระทั่งเหตุการณ์ทางการเมืองเริ่มคลี่คลาย ตำรวจจึงรุกคืบเข้าหานายกิตติธัช โดยสายรายงานเข้ามาว่า หลังการชุมนุมยุติลงนายกิตติธัชได้เดินทางกลับ จ.พิษณุโลก เพื่อไปหาภรรยา ตำรวจจึงบุกจับกุมไว้ได้คาบ้านพักกลางเมืองพิษณุโลก เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ที่ผ่านมา
นายกิตติธัช ให้การรับสารภาพว่า ตนเองมีภรรยาอยู่แล้ว แต่มารู้จักกับผู้ตายตอนหลัง และคบหากันในฐานะคู่กิ๊กเรื่อยมา ก่อนเกิดเหตุวันที่ 17 พ.ย. ตนมาหาผู้ตายที่หอพัก และนอนค้างคืนที่นั่น จนกระทั่งรุ่งเช้าผู้ตายออกไปทำงานตามปกติ เย็นจึงกลับมา และพากันไปซื้อของที่ร้านเซเว่นฯ หน้าปากซอย ก่อนพากันเข้าบ้าน
"วันนี้เราทะเลาะกันรุนแรงมาก เพราะเอื้อมพรจับได้ว่าผมมีเมียแล้วอยู่ที่พิษณุโลก จึงเกิดโต้เถียงกัน จังหวะนั้นเอื้อมพรเข้าไปอาบน้ำ โดยถอดทรัพย์สินจำพวกเครื่องประดับทองคำหลายชิ้นไว้ที่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ช่วงนั้นผมไม่มีเงินใช้ จึงอยากได้เงินสัก 2 พัน จึงหยิบเอาสร้อยทองของเธอมา แต่เธอออกจากห้องน้ำมาเห็นพอดีจึงด่าว่าผมอย่างรุนแรง ประกอบกับอารมณ์โมโหเรื่องจับได้ว่ามีเมียแล้วจึงทำให้เอื้อมพรโกรธมากขึ้น
"เอื้อมพรวิ่งเข้าไปเอาสากกะเบือขว้างใส่หน้าผมอย่างแรง ผมเจ็บโมโหเลือดขึ้นหน้าจึงคว้าสากอันเดียวกันตีหัวเธอบ้างจนหัวแตกเลือดไหลและเกิดการต่อสู้กันพัลวัน จังหวะนั้นเอื้อมพรวิ่งเข้าไปคว้ามีดปังตอฟันผมหลายครั้งและต่อสู้กัน แต่เนื่องจากเธอตัวเล็กกว่ามากจึงสู้แรงผมไม่ไหว ผมแย่งมีดได้จึงแทงเข้าที่ขาเธอเลือดไหล ก่อนที่จะใช้มีดเฉือนที่ลำคอจนตาย ซึ่งตอนแรกคิดว่าจะลงไปซื้อน้ำมันเบนซินราดเพื่อเผาอำพรางคดี แต่กลัวว่าคนอื่นจะเดือดร้อนด้วยจึงเปลี่ยนใจและหลบหนีไปตั้งหลักก่อนถูกจับได้" นายกิตติธัชกล่าว
นอกจากคำให้การที่ทำให้เจ้าหน้าที่อึ้งไปกับพฤติกรรมแล้ว ตำรวจยังซักถามถึงการหลบหนีไปฝังตัวอยู่กับกลุ่มม็อบพันธมิตร ได้รับคำตอบจากนายกิตติธัช ว่า
หลังเกิดเหตุได้หลบหนีไปสมัครเป็นการ์ดอาสาอยู่นาน ที่ต้องทำอย่างนั้นเพราะจะได้ไม่ต้องเสียเงินในการหลบหนี และที่สำคัญตำรวจไม่กล้าเข้าไปจับ จึงแฝงตัวอยู่กับม็อบจนจบการชุมนุม
วันที่ 24 ธ.ค. ตำรวจอยุธยานำผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพยังจุดเกิดเหตุ ท่ามกลางไทยมุงกว่า 1 พันคน ส่วนมากเป็นญาติของผู้ตายและเพื่อนพนักงาน ที่มารอดูหน้าคนร้าย ต่างรุมสาปแช่งและพยายามจะเข้ารุมประชาทัณฑ์จนตำรวจต้องรีบทำแผนและพานายกิตติธัชกลับไปควบคุมขังตามเดิม คุกเท่านั้นที่จะเหมาะกับคนประเภทนี้!??