ตร.จับอดีตการ์ดพันธมิตรฯผู้ต้องหาหนีคดีฆ่ากิ๊กสาวฉันทนาหมกหอพักอยุธยา คุมตัวทำแผนท่ามกลางฝูงชนคั่งแค้นอยากประชาทัณฑ์
สารภาพสิ้นชนวนฆ่าเกิดจากการทะเลาะกัน แค่เพราะผู้ตายเห็นตนหยิบสร้อยทองมาดูตอนผู้ตายอาบน้ำ เกิดการต่อสู้ฟัดเหวี่ยงกันสุดฤทธิ์ สุดท้ายเอามีดปาดคอฝ่ายหญิงจนสิ้นลม แล้วซื้อน้ำมันเบนซินมาราดจะเผาทำลายศพ แต่เปลี่ยนใจกะทันหัน เผยใช้วิธีหนีคดีด้วยการเข้ากรุงไปสมัครเป็นการ์ดอาสาให้ม็อบพันธมิตรฯ พอม็อบสลายเดินทางกลับบ้านเมียที่ต่างจังหวัดเลยจนมุม ทางด้านตร.เผยสืบรู้ก่อนแล้วว่าหนีไปอยู่ในม็อบ แต่ไม่กล้าหักเข้าไปจับเกรงเกิดปัญหาวุ่น รอจนม็อบเลิกค่อยจับ
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 24 ธ.ค. พล.ต.ต.นเรศ นันทโชติ ผบก.พระนครศรีอยุธยา
พ.ต.อ.ธาตรี ตั้งโสภณ รองผบก. พ.ต.อ.วุฒิพงษ์ เพชรกำเนิด รองผบก. พ.ต.อ.สมบัติ ชูชัยยะ ผกก.สภ.พระนครศรีอยุธยา พ.ต.ท.นฤนาท พุทไธสง รองผกก.กลุ่มงานสืบสวน ร.ต.อ.พิภพ นาพุทรา รองสว.กลุ่มงานสืบสวน ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา ร่วมกันแถลงผลการจับกุมนายกิตติธัช หรือแบงค์ เพชรเจริญศรี อายุ 19 ปี บ้านเดิมเลขที่ 61/32 ม.16 ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ผู้ต้องหาฆ่าปาดคอน.ส.เอื้อมพร สิทธิน้อย อายุ 25 ปี พนักงานสาวโรงงานไพโอเนียร์ บ้านเกิดอยู่ จ.นครสวรรค์ โดยจับกุมได้ที่หอพักแห่งหนึ่ง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.ที่ผ่านมา
จากนั้นนำผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ที่จุดเกิดเหตุ ห้องเช่าเลขที่ 203 ชั้น 2 หอพักครูฉวีเพลส ม.4 ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา
ท่ามกลางไทยมุงจำนวนมากกว่า 1 พันคน ส่วนมากเป็นญาติของผู้ตายและเพื่อนพนักงาน ต่างรุมสาปแช่งและพยายามจะเข้ารุมประชาทัณฑ์ จนตำรวจต้องขัดขวางอย่างหนัก คดีดังกล่าว สืบเนื่องนายกิตติธัชลงมือฆ่าน.ส. เอื้อมพร ซึ่งเป็นกิ๊กสาวของตัวเอง ในห้องพักที่เกิดเหตุเมื่อกลางดึกวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา และมีคนพบศพในเช้าวันที่ 19 พ.ย. โดยลงมือฆ่าอย่างโหดเหี้ยมด้วยการใช้มีดปังตอ ปาดที่ลำคอเป็นแผลฉกรรจ์จนกระดูกลำคอขาด หน้าขาขวาถูกมีดเฉือนเป็นแผลขนาดใหญ่จนเหวอะหวะ ศีรษะมีแผลแตก
นายกิตติธัช ให้การรับสารภาพว่า รู้จักกับผู้ตายบนขบวนรถไฟ และคบหากันเรื่อยมาในฐานะคู่กิ๊ก โดยตนมีภรรยาแล้วอยู่ที่ จ.พิษณุโลก
ก่อนเกิดเหตุ ตนมาหาผู้ตายยังหอพักที่เช่าไว้อยู่คนเดียว นอนค้างที่ห้องเกิดเหตุด้วยกันในคืนวันที่ 17 พ.ย. พอตอนเช้าวันที่ 18 พ.ย. ผู้ตายออกไปทำงานตามปกติ โดยปิดประตูห้องพักไว้ไม่ให้ตนหนีกลับบ้าน จนกระทั่งเย็นวันที่ 18 ก.ย. ผู้ตายกลับมา จึงออกไปซื้อของในร้านเซเว่นอีเลฟเว่นปากซอย เพื่อหาของกินด้วยกันตามปกติ จนปรากฏหลักฐานในทีวีวงจรปิดที่ร้านเซเว่นฯ เหมือนภาพคู่รักทั่วไปซื้อของ พอกลับมาที่ห้องช่วงดึกพร้อมกัน ผู้ตายเข้าไปอาบน้ำ โดยถอดทรัพย์สินจำพวกเครื่องประดับทองคำหลายชิ้นไว้ที่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์
นายกิตติธัชกล่าวว่า ก่อนมาหาผู้ตายครั้งนี้ ตนอยากจะมาขอยืมเงินสัก 2,000 บาท ไว้ใช้จ่าย แต่ยังไม่มีโอกาสได้พูดขอยืม
พอจังหวะผู้ตายอาบน้ำ ตนจึงเข้าไปหยิบเครื่องประดับทองขึ้นมาดู ปรากฏว่าผู้ตายออกจากห้องน้ำมาเห็นเข้าพอดี จึงเกิดการต่อว่าและทะเลาะกันอย่างรุนแรง ผู้ตายเอาสากกะเบือขว้างใส่หน้าตนอย่างแรง สากยังกระเด็นไปกระแทกขาของตนด้วย พอเจ็บขึ้นมาเลยโมโหเลือดขึ้นหน้า คว้าสากอันเดียวกันตีหัวผู้ตาย
จากนั้นก็เกิดการต่อสู้กันพัลวัน ผู้ตายเข้าไปคว้ามีดปังตอทำครัวในห้องจะฟันตนเอง แต่เนื่องจากตัวเล็กกว่ามาก สู้แรงของตนไม่ไหว
ตนแย่งมีดมาได้ แล้วเฉือนมีดเข้าต้นขาผู้ตายเป็นแผลใหญ่เลือดทะลักและแน่นิ่งไป ช่วงนั้นตนก็คิดจะหนีแล้ว แต่พอดีผู้ตายฟื้นขึ้นมาอีกและตั้งท่าจะสู้อีก ตนจึงตัดสินใจฆ่าด้วยการใช้มีดเฉือนที่ลำคอจนเสียชีวิต จากนั้นลงไปซื้อน้ำมันเบนซินราดบนตัวเพื่อจะเผา แต่กลัวว่าคนอื่นจะเดือดร้อนด้วย จึงเปลี่ยนใจไม่เผา นายกิตติธัชให้การต่อว่า จากนั้นตนหลบหนี โดยเอารถจักรยานยนต์ของผู้ตายที่จอดใต้หอพัก ขับหนี แล้วต่อรถไฟไปบ้านภรรยาที่จ.พิษณุโลก จนกระทั่งเห็นข่าว ภรรยาขอร้องให้มอบตัว แต่ตนไม่ยอม เดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยสมัครเข้าไปทำหน้าที่เป็นการ์ดอาสานานกว่า 10 วัน พอการประท้วงเสร็จสิ้น จึงเดินทางกลับบ้านภรรยาที่จ.พิษณุโลก แล้วถูกจับกุมในที่สุด
พล.ต.ต.นเรศ กล่าวว่า แนวทางการสืบสวนคดีนี้มาจากภาพวงจรปิดที่ได้จากภายในร้านสะดวกซื้อ และจากการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์
ทำให้รู้ว่าผู้ก่อเหตุคือนายกิตติธัช การตรวจสอบโทรศัพท์ยังทำให้รู้ว่าผู้ต้องหาหนีไปซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มของผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ แต่ตำรวจยังไม่เข้าจับกุมทันที เพราะเกรงว่าจะมีปัญหากับพวกม็อบ แต่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปประกบตัวไว้ พอการชุมนุมยุติ ตำรวจจึงลงมือจับกุมอย่างไร้ปัญหาดังกล่าว