อายสุดๆ กับสายตาคนต่างชาติ เมื่อสนามบินถูกยึด

เอแบคโพล สำรวจความเห็นของคนไทยกับเหตุขัดแย้งทางการเมือง นำไปสู่การยึดสนามบินสองแห่ง พบว่าคนไทยคิดว่าน่าละอาย และถูกชาวต่างชาติมองว่าเมืองไทยไม่น่าอยู่ ลบความรู้สึก" สยามเมืองยิ้ม" แทบจะหมดสิ้นไป

เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ดร.นพดล กรรณิกา  ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพล  มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัยเรื่อง สำรวจความภูมิใจของประชาชนต่อ ประเทศและความเป็นคนไทยในสถานการณ์ขัดแย้งทางการเมืองขณะนี้ กรณีศึกษาประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดปริมณฑล จำนวนตัวอย่างทั้งสิ้น 2,404 ตัวอย่าง มีระยะเวลาการดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 28-29  พฤศจิกายน 2551 พบว่า ประชาชนที่ถูกศึกษาส่วนใหญ่หรือกว่าร้อยละ 90 ติดตามข่าวการเมืองผ่านสื่อมวลชนเป็นประจำทุกสัปดาห์ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา


เมื่อถามถึงความรู้สึกต่อประเทศไทยและความเป็นคนไทยในสถานการณ์การเมืองขณะนี้ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 76.5 ระบุว่าเหตุการณ์ขัดแย้งทางการเมืองขณะนี้ทำให้รู้สึกน่าละอาย และถูกชาวต่างชาติมองว่าประเทศไทยไม่น่าอยู่ระดับมากถึงมากที่สุด


ที่น่าพิจารณาคือผลสำรวจพบว่า ประมาณครึ่งหนึ่งหรือร้อยละ 51.3 ยังรู้สึกพูดได้เต็มที่ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งรอยยิ้มระดับมากถึงมากที่สุด

ในขณะที่ร้อยละ 13.3 มีความรู้สึกเช่นนี้ระดับปานกลาง และเกินกว่า 1 ใน 3 หรือร้อยละ 35.4 ที่รู้สึกน้อยถึงไม่กล้าเลยที่จะพูดว่าประเทศไทยเป็นประเทศแห่งรอยยิ้ม ผลสำรวจที่ค้นพบครั้งนี้แตกต่างไปจากผลสำรวจในปี 2549 ที่คนไทยประมาณร้อยละ 90 รู้สึกพูดได้เต็มที่ว่า ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งรอยยิ้ม ยิ่งกว่านั้น ผลสำรวจพบว่า ร้อยละ 47.3 ระบุว่า โลกของเราจะน่าอยู่กว่านี้มากถึงมากที่สุด ถ้าคนชาติอื่นๆ เป็นเหมือนกับคนไทย ในขณะที่ ร้อยละ 16.6 รู้สึกระดับปานกลาง และเกินกว่า 1 ใน 3 หรือร้อยละ 36.1 ที่ระบุว่า โลกของเราจะน่าอยู่กว่านี้ระดับน้อยถึงไม่น่าอยู่เลย ถ้าคนชาติอื่นๆ เป็นเหมือนกับคนไทย


ผลสำรวจพบด้วยว่า ไม่ถึงครึ่งหรือร้อยละ 46.8 ระบุเมื่ออยู่ในสภาวะที่เดือดร้อน ยังรู้สึกว่าคนไทยเห็นอกเห็นใจต่อกันและกันระดับมากถึงมากที่สุด แต่ร้อยละ 13.6 ระบุระดับปานกลาง และร้อยละ 39.6 ระบุระดับน้อยถึงไม่มีเลย 

ที่น่าเป็นห่วงคือ ประมาณครึ่งหรือร้อยละ 51.0 รู้สึกน้อยถึงไม่รู้สึกเลยว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีความสงบสุขและสันติมากที่สุด ในขณะที่ร้อยละ 11.7 ระบุระดับปานกลาง และร้อยละ 37.3 ยังคงระบุระดับมากถึงมากที่สุด นอกจากนี้ ประมาณครึ่งหนึ่งเช่นกันหรือร้อยละ 49.8 รู้สึกน้อยถึงไม่รู้สึกเลยว่า ประชาชนคนไทยในสังคมรักและเกื้อกูลกัน ในขณะที่ร้อยละ 12.9 ระบุระดับปานกลางและร้อยละ 37.3 ระบุระดับมากถึงมากที่สุด


ประชาชนที่ถูกศึกษาส่วนใหญ่หรือร้อยละ81.4 ยังรู้สึกมากถึงมากที่สุดว่า วันนี้ ฉันยังรู้สึกภูมิใจที่เกิดบนผืนแผ่นดินไทย

ในขณะที่ร้อยละ 6.8 ระบุระดับปานกลางและร้อยละ 11.8 ระบุน้อยถึงไม่ภูมิใจเลย นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 79.4 ระบุว่า ฉันพร้อมที่จะเป็นคนหนึ่งที่จะรักและช่วยเหลือคนอื่นๆ ระดับมากถึงมากที่สุด ในขณะที่ร้อยละ 10.7 ระบุปานกลาง และร้อยละ 9.9 ระบุน้อยถึงไม่มีความพร้อมเลย


ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งคือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 65.1 ระบุโดยภาพรวมรู้สึกภูมิใจน้อยถึงไม่ภูมิใจเลยในความเป็นไทย หากเหตุการณ์ขัดแย้งทางการเมืองรุนแรงบานปลายต่อไป ในขณะที่ร้อยละ 34.9 ยังคงภูมิใจมาก ถึงมากที่สุด

ส่วนทางออกของปัญหาการเมืองขณะนี้ ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.3 ระบุให้ยึดมั่นในกระบวนการยุติธรรม หลักกฎหมาย (ใครผิด ใครถูกให้เป็นไปตามกฎหมาย) รองลงมาคือ ร้อยละ 57.1 ระบุจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ มีคนกลางเป็นนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 52.0 ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ และร้อยละ 43.8 ระบุพรรคร่วมรัฐบาลควรประกาศถอนตัวออกจากการเป็นรัฐบาล

ที่น่าพิจารณาคือส่วนใหญ่หรือร้อยละ 60.1 เห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่ทางออกของปัญหาการเมืองขณะนี้ ในขณะที่ร้อยละ 39.9 เห็นว่าเป็นทางออก


ถามถึงจุดยืนทางการเมืองของประชาชนในสถานการณ์ล่าสุดขณะนี้พบว่า ส่วนใหญ่หรือเกือบร้อยละ 60 คือร้อยละ 58.4 ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด คือขออยู่ตรงกลาง ในขณะที่ร้อยละ 26.1 เลือกที่จะสนับสนุนรัฐบาล และร้อยละ 15.5 เลือกที่จะไม่สนับสนุนรัฐบาล ดร.นพดล กล่าวว่า ผลสำรวจนี้ชี้ให้เห็นว่า ความขัดแย้งรุนแรงบานปลายระหว่างรัฐบาล กับ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกำลังสร้างเงื่อนไขเพื่อแบ่งแยกประชาชนคนไทยของประเทศออกเป็นสองขั้วสองสีคือสีแดงกับสีเหลือง ถ้าหากปล่อยให้ความขัดแย้งที่มีต่อกันเช่นนี้ยาวนานออกไปตามธรรมชาติของมัน

ผลที่อาจเกิดขึ้นตามมาคือความแตกแยกที่จะขยายวงกว้างออกไปยังกลุ่มคนในชนชั้นต่างๆ และพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ

ส่งผลให้ความภูมิใจของประชาชนคนไทยถูกผลักดันออกไปให้ห่างไปจากวันวานในอดีตที่แต่ละเทศกาลรื่นเริงในฤดูแห่งการท่องเที่ยวประชาชนคนไทยในแต่ละภูมิภาคเคยเดินทางไปมาหาสู่กันสนุกสนานร่วมกัน และสัมผัสกับความดีความงามในวัฒนธรรมประเพณีและสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติของประเทศไทย

“สิ่งที่น่าจะทำให้คนไทยส่วนใหญ่ที่ยังไม่เลือกข้างขณะนี้ไตร่ตรองดูคือ สังคมไทยและโลกของเราไม่ได้มีเพียงสองสี คือสีเหลืองและสีแดงเท่านั้น แต่สังคมไทยยังมีหลากหลายสีที่จะทำให้เราได้พบกับความดีความงามในสังคมไทยเหมือนในอดีตที่เคยมีความรักความสามัคคีช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และบรรดาผู้อาวุโสในสังคมช่วยประคับประคองให้คนในสังคมประพฤติปฏิบัติอยู่ในครรลองคลองธรรมและกฎหมาย”ดร.นพดล กล่าว 

ผู้อำนวยการเอแบคโพล กล่าวต่อว่า ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่จึงต้องระวังอย่ามีอคติและอย่ามองแบบเหมารวม (Stereotype) ไปว่า สีเหลืองเป็นสีของกลุ่มพันธมิตรฯ และสีแดงเป็นสีของ นปก. และ นปช. ตรงกันข้าม สีเหลืองยังสามารถเป็นสีแห่งสัญลักษณ์ของความจงรักภักดี และสีแดงยังสามารถมองได้ว่าเป็นความรักชาติที่เข้มข้นของบรรพบุรุษที่เคยยอมเสียสละชีวิตในการรักษาพื้นแผ่นดินไทยนี้ไว้ 

ดังนั้นประชาชนในสังคมไทยน่าช่วยกันสร้าง “สังคมแห่งความหลากหลายสี” เพื่อเข้าถึง “ความจริงและความดีความงามแห่งความสงบสุขสันติ” ได้มากกว่าความพยายามของกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต่างฝ่ายต่างอ้างว่า รักชาติและระบอบประชาธิปไตย โดยซ่อนผลประโยชน์แห่งอำนาจของตนเองและพวกพ้องเอาไว้เบื้องหลัง 

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์