ป๋าลอ ชะตาขาด! ศาลอุทธรณ์สั่งประหารชีวิตสถานเดียว
โดย ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ 3 มีนาคม 2549 12:23 น.
ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดี พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อุ้มฆ่าแม่-ลูกศรีธนะขัณฑ์ โดยพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น จากจำคุกตลอดชีวิตเป็นลงโทษประหารชีวิตสถานเดียว
วันนี้ (3 มี.ค.) เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 913 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีอุ้มฆ่า นางดาราวดี และ ด.ช.เสรี ศรีธนะขัณฑ์ ภรรยาและบุตรชายของนายสันติ ศรีธนะขัณฑ์ เจ้าของร้านเพชรชื่อดัง ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อดีตผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ กับพวกรวม 9 คนเป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อปกปิดความผิดของตนเอง และความผิดอื่นรวม 7 ข้อหา
โดยหลังศาลอุทธรณ์ได้ประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดความผิดของตนเอง พิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ให้ประหารชีวิต ส่วนฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ รวมโทษทุกกระทง ให้ประหารชีวิตสถานเดียว ส่วนจำนเลยที่ 2, 6 และ 7 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คือจำคุกตลอดชีวิต โดยศาลเห็นว่า เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์และโจทก์ร่วมมีน้ำหนักเพียงพอ และเบิกความสอดคล้องกับคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน รวมทั้งหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ว่าจำเลยกระทำความผิดจริง ดังนั้น อุทธรณ์ของจำเลยทั้งหมดฟังไม่ขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.45 ให้จำคุกตลอดชีวิต พล.ต.ท.ชลอ จำเลยที่ 1 ในความผิดฐานสนับสนุนให้ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อนฯ และให้จำคุกตลอดชีวิต พ.ต.ท.พันศักดิ์ มงคลศิลป์ อดีต สว.สส.จ.ปราจีนบุรี จำเลยที่ 2, นายนิคม หรือป๊อด มนต์ศิริ จำเลยที่ 6 และนายสำราญ แจ่มจำรัส หรือฉายา พงษ์ ปากกว้าง จำเลยที่ 7 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ
ส่วน จ.ส.ต.ยงค์ กล่ำนาค อดีต ผบ.หมู่ สภ.อ.เมืองปราจีนบุรี จำเลยที่ 3 พิพากษาให้จำคุก 4 ปี ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ, นายวีระชัย พลทิแสง จำเลยที่ 5 และนายสมหมาย พุดเทศ จำเลยที่ 8 ให้จำคุกคนละ 2 ปี 8 เดือน ฐานร่วมกันสนับสนุนให้เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ สำหรับ ด.ต.สมนึก เวชศรี อดีต ผบ.หมู่ สภ.อ.สระแก้ว จำเลยที่ 4 เนื่องจากหลักฐานโจทก์ไม่เพียงพอจึงให้ยกฟ้อง สำหรับนายสุภาพ ช่างสาย จำเลยที่ 9 นั้นเสียชีวิตก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา
คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 28 พ.ย.2537 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อระหว่างเช้าวันที่ 2 ก.ค.-1 ส.ค.2537 ต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1-4 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนหาเพชรและทรัพย์สินมีค่าของเจ้าชายไฟซาล บิน ฟาฮัด อับดุลอาซิซ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ที่นายเกรียงไกร เตชะโม่ง อดีตคนงานไทยที่เข้าไปทำงานได้ลักเพชรและนำเข้ามาในประเทศไทย ได้สืบสวนแล้วเชื่อว่านายสันติ เจ้าของร้านเพชรชื่อดังรู้ว่าเพชรอยู่ที่ใด ซึ่งจำเลยทั้งสี่ไม่ได้ออกหมายเรียกตัวนายสันติมาสอบสวน แต่กลับร่วมกับจำเลยที่ 5-9 ลักพาตัวนางดาราวดีกับ ด.ช.เสรี ภรรยาและบุตรชายของนายสันติไปจากบ้านพักย่านตลิ่งชัน และได้นำตัวไปกักขังไว้ที่บังกะโล กรีวิลล่า อ.สระแก้ว จ.สระแก้ว แล้วใช้ของแข็งตีที่ศีรษะ ท้ายทอย และร่างกายของทั้งสองหลายแห่งจนหมดสติถึงแก่ความตาย ก่อนจะลักทรัพย์สิน รวมมูลค่า 560,000 บาทไป จากนั้นนำร่างผู้ตายทิ้งไว้ในรถยนต์เบนซ์ของนางดาราวดี แล้วขับรถมาจอดทิ้งไว้ที่ทางเข้าหมู่บ้านริมบึง ถ.มิตรภาพ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี ให้รถบรรทุกขนาดใหญ่ชนเพื่ออำพรางคดีว่าทั้งสองถึงแก่ความตายเนื่องจากอุบัติเหตุเพื่อปกปิดความผิดของพวกจำเลยดังกล่าว