เผยจับขาโจ๋หญิงเสพยาบ้าพาส่งพนักงานสอบสวนเสร็จ หิ้วตัวเหยื่อไปปู้ยี่ปู้ยำยับเยินในห้องสืบสวน หลังเรื่องแดงปฏิเสธอ้างมีเรื่องโกรธเคืองกับแม่ผู้เสียหาย ชี้ฟังไม่ขึ้นพยานหลักฐานมัดแน่นดิ้นไม่หลุด ขณะที่โปลิศที่ติดร่างแหไปอีกคนรอดหวุดหวิด เหตุผู้เสียหายจำหน้าไม่ได้
ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาฯ วันที่ 4 พ.ย. ศาลอ่านคำพิพากษาคดีความผิดทางเพศ หมายเลขดำที่ อ.254/2551
ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 3 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง ด.ต.นุโลม แอ๊ดมา, ด.ต.มงคล โททอง และ ด.ต.ผจลณ์ ตะโกนวน ทั้งสามเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.เพชรเกษม เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิง ซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยใช้กำลังประทุษร้าย โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 24 ม.ค. 51 ระบุความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อวันที่ 14 ม.ค. 50 เวลา 21.00 น. จำเลยที่ 1-2 กับพวก ได้ร่วมกัน จับกุม น.ส.หนึ่ง (นามสมมุติ) ผู้เสียหาย อายุ 16 ปี ฐานเสพยาบ้า จากนั้นได้นำตัวผู้เสียหายไปตรวจร่างกายที่ รพ. พบสารเสพติดในร่างกาย จึงส่งพนักงานสอบสวน สน.เพชรเกษม ดำเนินคดี ก่อนนำตัวผู้เสียหายไปควบคุมตัว ในห้องขังหญิง
กระทั่งเวลา 23.00 น. วันเดียวกัน จำเลยที่ 2 เบิกตัวผู้เสียหายออกจากห้องขัง นำไปที่ห้องสืบสวน ชั้น 3 ของโรงพัก
ก่อนที่จำเลยทั้งสามกับพวกอีก 1 คน จะผลัดกันข่มขืนกระทำ ชำเราผู้เสียหาย อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง เหตุเกิดที่ สน.เพชรเกษม แขวงหลักสอง เขตบางแค ทั้งนี้จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธโดยตลอด อ้างว่ามีเหตุโกรธเคืองกับมารดาผู้เสียหาย และในการเบิกตัวผู้เสียหายออกจากห้องขังในเวลากลางคืนนั้นมีระเบียบที่ต้องให้ผู้บังคับบัญชารับทราบ
วันรุ่งขึ้นผู้เสียหายถูกนำตัวไปส่งฟ้องที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง โดนควบคุมตัวไว้ที่สถานแรกรับเด็กและเยาวชนหญิงบ้านปรานี นาน 9 วัน
รู้สึกเจ็บที่อวัยวะเพศ จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เจ้าหน้าที่ นักพยาบาล และนักจิตวิทยา ต่อมาแม่ผู้เสียหายทราบเรื่องจึงเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็ก เยาวชนและสตรี (ปดส.) ทั้งนี้ศาลเห็นว่าพยานโจทก์ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้เบิกความปรักปรำให้จำเลยต้องได้รับโทษ เชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งหมดเบิกความไปตามจริง อีกทั้งในห้องมีแสงสว่างเพียงพอ ผู้เสียหายย่อมจดจำใบหน้าของจำเลยได้อย่างชัดเจน กรณีไม่มีเหตุผลเพียงพอจะสร้างเรื่องขึ้นมา เชื่อว่าผู้เสียหายถูกกระทำชำเราจริง
สำหรับจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำความผิดด้วยหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายไม่สามารถจดจำได้ เพียงแต่หลังจากถูกกระทำชำเรา
เมื่อผู้เสียหายลุกออกจากเตียง เห็นจำเลยที่ 1-3 และตำรวจอีก 1 นาย นั่งอยู่ในห้องเลยเข้าใจว่าถูกคนที่อยู่ในห้องทั้งหมดข่มขืน จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำชำเราด้วย พิพากษาว่าจำเลยที่ 1-2 มีความผิดฐานร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยหญิงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 ลงโทษจำคุกคนละ 20 ปี ปรับคนละ 40,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 3 ยกฟ้อง
ทั้งนี้หลังฟังคำพิพากษาเสร็จ ญาติผู้ต้องหาทั้งสองได้นำโฉนดที่ดินภายใน จ.มหาสารคาม มูลค่าประเมิน 11 ล้านกว่าบาท มายื่นประกันตัวทั้งสองไป โดยศาลตีราคาประเมินทั้งคู่คนละ 2 ล้านบาท เมื่อได้ประกันญาติรีบนำตัวกลับโดยที่ทั้งสองไม่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแต่อย่างใด.