ที่กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว เวลา 13.30 น. วันที่ 25 ต.ค. พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.ก. พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รอง ผบช.ก. หัวหน้าศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติ พล.ต.ต.อรรถกฤษณ์ ธารีฉัตร ผบก.ทท. รองหัวหน้าศูนย์ฯ
แถลงข่าวจับกุมแก๊งคนร้ายปลอมแปลงบัตรเครดิตและหนังสือเดินทางรายใหญ่ ผู้ต้องหาคือนายเหล่า เซ่ง ตี้ อายุ 47 ปี ชาวมาเลเซีย และ น.ส. สู่เฟิง แซ่เกา อายุ 29 ปี ชาวเขา สัญชาติมาเลเซีย พร้อม ของกลางอุปกรณ์การผลิตหนังสือเดินทางปลอมหลายรายการ ประกอบด้วย ตรายาง แท่นหมึกพิมพ์ แท่นปั๊มตัวอักษรนูน เครื่องพิมพ์การ์ดพลาสติก เครื่องเคลือบ เครื่องปริ๊นซ์ กระดาษฟรอยด์ หนังสือเดินทางปลอมประเทศต่างๆ อาทิ พม่า บรูไน จีน ไอร์แลนด์ สิงคโปร์ ฮ่องกง รวม 30 เล่ม บัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมของธนาคารต่างๆพร้อมข้อมูล 110 ใบ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังไม่ติดแผ่นแม่เหล็กข้อมูลจำนวน 1,502 ใบ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก 3 เครื่อง สมุดจดบันทึกข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ 4 เล่มในเบื้องต้นแจ้งข้อหามีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ โดยรู้ว่าเป็นของที่ทำปลอม หรือแปลงขึ้น โดยน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน ทำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม ทำเครื่องมือหรือวัตถุสำหรับปลอม หรือแปลงบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม ทำหนังสือ เดินทางปลอม มีไว้เพื่อใช้ซึ่งหนังสือเดินทางปลอม และทำปลอมขึ้นซึ่งดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะตรวจลงตรา อันใช้ในการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ชุดปราบปรามคนร้ายข้ามชาติใช้เวลาการสืบสวนนาน 3 เดือน จนทราบว่าแก๊งคนร้ายข้ามชาติคนสำคัญระดับหัวหน้ากลุ่มจะนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมจำนวนมากไปรูดซื้ออัญมณีที่ร้านค้าในศูนย์การค้าวรจักร
ถนนวรจักร แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กทม. จึงนำกำลังไปตรวจสอบ พบนายเหล่ากับ น.ส.สู่เฟิงผู้ต้องสงสัย จากการตรวจค้นพบบัตรอิเล็กทรอนิกส์ 20 ใบ ส่วนใหญ่เป็นของชาวอเมริกัน เมื่อตรวจสอบกับผู้ เชี่ยวชาญแล้วเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม นอกจากนี้ ยังพบหนังสือเดินทางปลอมชื่อสกุลตรงกับเจ้าของบัตรอิเล็กทรอนิกส์ จึงนำตัวไปสอบสวนขยายผลที่ห้องพัก เลขที่ 64/35 อาคารทองไทยคอนโดมิเนียม 2 ถนนวุฒากาศ 43 เขตจอมทอง ฝั่งธนบุรี พบเครื่องมืออุปกรณ์ สำหรับปลอมแปลงบัตรอิเล็กทรอนิกส์และผลิตหนังสือ เดินทางปลอมจำนวนมากดังกล่าวถือเป็นรายใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยจับกุมมา ทั้งนี้ แก๊งคนร้ายส่วนใหญ่จะนำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมไปรูดซื้อเครื่องประดับเพชรพลอยราคาแพง ประเมินความเสียหายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท จากการสอบสวนทราบว่ายังมีเพื่อนร่วมขบวนการชาวมาเลเซียอีก 3-4 คน อยู่ระหว่างขยายผลติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป