ที่ห้องพิจารณาคดี 805 ศาลอาญา เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 30 ก.ย. ศาลอ่านคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4
เป็นโจทก์ ฟ้อง นายกฤษดา หรือโน๊ต ณะวงศ์ นายสมชาย หรือปิค ณะวงศ์ นายอ๊อด หรือโจ ณะวงศ์ นายอาทิตย์ หรือนิด ณะวงศ์ นายตู่ หรือโอ ณะวงศ์ และนายกิตติพงษ์ หรือแฟต ณะวงศ์ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 16 ในความผิดฐาน ร่วมกันฆ่าเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่
โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า เมื่อวันที่ 21 ก.ค.51 จำเลยที่ 1, 4 และ 5 ไปทวงคืนโทรศัพท์มือถือจากนายพยุงศักดิ์ พึ่งยา ภายในซอยวิภาวดีฯ 16/9 ถนนวิภาวดีรังสิต จนมีปากเสียงกัน
ต่อมา จ.ส.ต.วีระ ศรีอูด ผบ.หมู่ ป.สน. สุทธิสาร เข้ามาเห็นเหตุการณ์ จึงเข้าไปห้าม กลับถูกจำเลยที่ 1 ใช้ไม้เบสบอลชี้ด่าพร้อมตะโกนถามว่า “มึงเสือกอะไร” จ.ส.ต.วีระตอบกลับไปว่า “กูเป็นตำรวจจะจับมึงไปโรงพัก” จากนั้นพวกจำเลยทั้ง 3 รีบขี่ จยย.ออกจากซอยไป จ.ส.ต.วีระวิ่งตามไป ขณะนั้นจำเลยที่ 1 ขึ้นขี่รถ จยย. แล้วเสียหลักล้มลง จึงวิ่งหนีออกไปทางปากซอย จ.ส.ต.วีระ จึงคว้า จยย.ของจำเลยที่ 1 ขึ้นขี่ตามออกไป โดยมีนายพิมาน เสนนอก ถือไม้เบสบอลของจำเลยที่ 1 ซึ่งตกอยู่ นั่งซ้อนท้ายไปด้วย เมื่อไปถึงปากซอยวิภาวดีฯ 16/9 จ.ส.ต.วีระตรงเข้าจับกุมจำเลยที่ 1 ถึง 2 ครั้ง แต่จำเลยที่ 1 สะบัดตัวหลุดไปได้ ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะชกเข้าที่หน้า จ.ส.ต.วีระ โดยมีจำเลยที่ 2-6 เข้ารุมทำร้าย กระทืบ จ.ส.ต.วีระ ที่ศีรษะ ลำตัว จากนั้น จำเลยที่ 1 ได้แย่งไม้เบสบอลจากมือของนายพิมาน พร้อมเงื้อไม้เบสบอลฟาดใส่ศีรษะ จ.ต.ส.วีระ จากนั้น จำเลยทั้งหมดได้หลบหนีไป ต่อมา จ.ส.ต.วีระได้เสียชีวิตลงในวันรุ่งขึ้น แพทย์ระบุว่ามีอาการสมองบวม เมื่อถูกวัตถุของแข็งกระแทกอย่างแรง
โจทก์มีประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์รวม 3 ปาก ลำดับเหตุการณ์ไปตามที่โจทก์ฟ้อง และให้ปากคำระบุว่าจำเลยทั้ง 6 ได้รุมทำร้ายร่างกาย จ.ส.ต.วีระ
โดยขณะเกิดเหตุมีแสงสว่างที่สามารถมองเห็นใบหน้าของจำเลยทั้งหมดได้อย่างชัดเจน และเห็นว่าพยานโจทก์ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้ง 6 มาก่อน เชื่อว่าจำเลยที่ 2-6 ร่วมกันรุมทำร้าย จ.ส.ต.วีระ ผู้ตายด้วย
จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่า ถูก จ.ส.ต.วีระตบที่หูก่อน จึงต้องชกคืนเป็นการป้องกันตัว และใช้ไม้เบสบอลตีเป็นการบันดาลโทสะนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยให้การในชั้นสอบสวนในประเด็นดังกล่าวมาก่อน เนื่องจากเป็นข้อต่อสู้สำคัญของจำเลยที่ 1 จึงไม่น่าเชื่อว่าเรื่องดังกล่าวเป็นความจริง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าเป็นการบันดาลโทสะหรือไม่ พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 289 (2) 138 วรรค 2 ประกอบมาตรา 140 วรรคแรก และ 83 ให้ลงโทษฐานฆ่าเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่ อันเป็นบทลงโทษสูงสุด ให้ประหารชีวิต ส่วนจำเลยที่ 2-6 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ประกอบมาตรา 298,138 ประกอบมาตรา 140 วรรคแรก ให้ลงโทษฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่ ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2-5 เป็นเวลา 6 ปี ส่วนจำเลยที่ 6 มีอายุไม่เกิน 20 ปี ให้ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกเป็นเวลา 4 ปี ทั้งนี้ ให้รวมโทษจำเลยที่ 2 กับโทษในคดีหมายแดงที่ 4139/2549 ของศาลแขวงพระนครเหนือ รวมจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 6 ปี 2 เดือน และจำเลยที่ 3 ให้รวมโทษกับคดีหมายเลขแดงที่ อ.1664/2549 ของศาลอาญา รวมจำคุกจำเลยที่ 3 เป็นเวลา 7 ปี
หลังศาลมีคำพิพากษาให้ประหารชีวิตนายกฤษดา จำเลยที่ 1 ญาติๆที่มาให้กำลังใจถึงกับร่ำไห้ ก่อนที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะควบคุมตัวจำเลยทั้ง 6 กลับไปควบคุมไว้ที่เรือนจำต่อไป
ขณะที่นางนิด เฉลียวกาญจน์ ภรรยาของ จ.ส.ต.วีระ ที่ร่วมฟังคำพิพากษาด้วย เปิดเผยว่า พอใจกับผลคำพิพากษา ถือว่าศาลได้ให้ความยุติธรรมกับครอบครัวตนอย่างที่สุดแล้ว ส่วนเรื่องที่จำเลยจะยื่นอุทธรณ์หรือไม่นั้น คงเป็นหน้าที่ของฝ่ายจำเลย ที่ต้องว่ากันไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ทั้งนี้ ต้องการให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ ในสิ่งที่เขาได้ก่อไว้ก็เพียงพอแล้ว