นางรินทร์ลภัส ให้การว่า ตนเป็นนายหน้าติดต่อซื้อขายเพชรให้กับลูกค้า โดยตนได้รู้จักกับ นายจักรพันธ์ ซึ่งเป็นพ่อค้าขายเพชร และทราบว่ามีเพชรใสแอฟฟริกา จำนวน 2 ก้อน
ก้อนแรกมีน้ำหนัก 2,100 กระรัต ส่วนก้อนที่สองมีน้ำหนัก 1,750 กระรัต ซึ่งได้ซื้อมาประมาณ 15 ปีที่แล้วในราคา 5 แสนบาท โดยนายจักรพันธ์ ต้องการที่จะขายเพชรดังกล่าว ตนจึงได้ติดต่อหาลูกค้าให้ ซึ่งเมื่อวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา ได้มีลูกค้าเป็นชาวดูไบ ต้องเพชรดังกล่าว ตนจึงนัดให้มาดูเพชรที่บริษัทตน ซึ่งทุกครั้งที่ตนนัดลูกค้ามาดูเพชรก็จะให้มาดูที่บริษัท นางรินทร์ลภัส กล่าวต่อไปว่า หลังจากที่ลูกค้าชาวดูไบมาดูเพชรแล้วก็ตอบตกลงซื้อเพชรดังกล่าว ซึ่งตนก็ได้นัดให้มาจ่ายค่ามัดจำจำนวน 30 เปอร์เซ็นต์ ก่อนในวันพรุ่งนี้ (25 ก.ค.) จนกระทั่งเมื่อวานที่ผ่านมา (23 ก.ค.) ได้มีชาย 2 คน รูปร่างสูงใหญ่ คนแรกเป็นชายผิวขาวคล้ายคนจีน ส่วนอีกคนเป็นชายไทยผิวคล้ำ และได้เข้ามาบอกกับตนว่าเป็นคนสนิทของนักการเมืองท่านหนึ่งและได้ให้ตนมาขอดูเพชรที่ต้องการขาย จากนั้นตนจึงได้นัดให้ทั้ง 2 คน และ นายจักรพันธ์ เจ้าของเพชร เดินทางมาในวันนี้
นางรินทร์ลภัส กล่าวว่า จนเวลาประมาณ 11.00 น. ชายทั้ง 2 คน โดยคนแรกเป็นชายผิวคล้ำสวมสูทสีดำ ผูกเน็กไทด์สีแดง และอีกคนสวมเสื้อเชิ้ตสีเหลือง กางเกงสีกรมท่า ได้เดินทางมาที่บริษัทตามนัด พร้อมกับ นายจักรพันธ์
จากนั้นตนจึงได้พาชายผิวคล้ำ และ นายจักรพันธ์ ขึ้นไปเจรจาและดูเพชรบริเวณชั้นที่ 2 ของบริษัท ส่วนอีกคนนั่งอยู่ในรถเก๋งสีครีม ไม่ทราบยี่ห้อ รุ่น และหมายเลขทะเบียน หลังจากนั้นชายคนดังกล่าวได้ขอส่องดูเพชร จากนั้นอ้างว่าที่มืดมองไม่ค่อยเห็น ตนจึงได้พาลงมาส่องเพชรที่ชั้นล่าง ขณะที่ชายดังกล่าววางกระเป๋าเจมส์บอนด์สีเทาไว้ ขณะนั้นตนก็ได้สังเกตเห็นว่ามี รถ จยย.ขับผ่านไปมาหลายรอบ แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร ซึ่งคนร้ายก็ได้อาศัยจังหวะที่ตนเผลอฉวยเอาเพชรที่ส่องอยู่จำนวน 1 ก้อน เป็นเพชรใสแอฟฟริกา น้ำหนัก 420 กรัม หรือเท่ากับ 2,100 กระรัต มูลค่าประมาณ 315 ล้านบาท วิ่งหลบหนีขึ้นรถ จยย.ต้องสงสัยหลบหนีไป ส่วนคนร้ายอีกคนทราบว่าได้ขับรถออกไปก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนเพชรอีกเม็ด นายจักรพันธ์ ถือไว้อยู่ คนร้ายจึงได้เพชรไปเพียงเม็ดเดียว
ด้าน พ.ต.อ.เจริญ กล่าวว่า จากการสอบสวนทราบว่า วานนี้คนร้ายได้มีการพูดคุยเจรจากับ นางรินทร์ลภัส และได้นำสมุดบัญชีมาแสดงว่า เจ้านายที่อ้างเป็นนักการเมืองได้โอนเงินเข้ามาในบัญชีจำนวนกว่า 100 ล้านบาท
ทำให้ นางรินทร์ลภัส ได้เชื่อใจและขายเพชรดังกล่าวให้ ซึ่งเชื่อว่าเหตุการณ์ครั้งนี้คาดว่าน่าจะมีคนในมีส่วนรู้เห็น เพราะทราบว่าเมื่อ นางรินทร์ลภัส จะติดต่อซื้อขายเพชรแต่ละครั้ง จะติดต่อผ่านเจ้าหน้าที่ตำรวจท่านหนึ่งเพียงคนเดียว ส่วนคนร้ายน่าจะเป็นคนที่รู้การเคลื่อนไหวและมีความรู้เรื่องวงการเพชรพลอยเป็นอย่างดี เบื้องต้นจะได้เร่งสอบปากคำผู้เกี่ยวข้องและพยานแวดล้อม รวมทั้งตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่อยู่บริเวณใกล้เคียง เพื่อรวบรวมเป็นข้อมูลเพื่อติดตามคนร้ายและผู้ที่อยู่เบื้องหลังมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.