รพ.กรุงธน2วอนสาวใหม่ มาเช็กซ้ำสงสัยไตฝ่อ

กรณีนางเกษร พุ่มแจ้ง อายุ 43 ปี อาชีพตัดเย็บเสื้อผ้า เข้าร้องเรียนผู้สื่อข่าวไทยรัฐ เกี่ยวกับอวัยวะภายในที่หายไปจากร่าง

โดยทราบเรื่องขณะไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลบางปะกอก 3 เมื่อวันที่ 10 ก.ค. เนื่องจากมีอาการปวดเอว ขา หน้ามืดบ่อยครั้ง ต้องหยุดงานเป็นประจำ ผลเอกซเรย์แพทย์ระบุว่า มีไตซ้ายเหลือข้างเดียว ส่วนไตขวาหายไป ทั้งนี้ได้ไปแจ้งความต่อ ร.ต.ท.เชิดชัย ขังทอง พนักงานสอบสวน (สบ 1) สน.ราษฎร์บูรณะ ให้สอบสวนว่าหายไปได้อย่างไร ช่วงเวลาไหน เพราะก่อนหน้านี้เคยอัลตราซาวด์ ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ พระประแดง เพราะเกิดอุบัติเหตุรถชน บาดเจ็บที่ช่องท้อง และผ่าตัดซีสต์มดลูก ที่โรงพยาบาลกรุงธน 2 ตามที่เสนอข่าวไปนั้น
 

ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 15 ก.ค. กรมการประกอบโรคศิลป์ กระทรวงสาธารณสุข นำตัวนางเกษร พุ่มแจ้ง ผู้เสียหายพร้อมญาติ เดินทางไปที่โรงพยาบาลราชวิถี

ก่อนนำตัวเข้าห้องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่ออัลตราซาวด์อวัยวะภายในอีกครั้ง หลังตรวจเสร็จ นางเกษรและญาติๆ ต้องการฟิลม์เอ็กซเรย์นำไปเป็นหลักฐานในการแจ้งความ แต่ นพ.ฌาโน เสนาวงษ์ แพทย์ประจำห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลราชวิถี ไม่อนุญาต อ้างเป็นสมบัติโรงพยาบาล อีกทั้งผลเอกซเรย์ยังไม่ชัดเจน ถ้าต้องการความชัดเจน จะต้องฉีดสีเข้าไปดูถึงจะเห็นมากขึ้น พร้อมแนะให้เดินทางมาฟังผลในวันพรุ่งนี้
  

นางเกษรทวงถามว่า ในวันนี้ กรมการประกอบโรคศิลป์ เดินทางไปรับตัวมาโดยโทรศัพท์แจ้งล่วงหน้าไม่เกิน 10 นาที

อีกทั้งอ้างว่าเมื่อเอกซเรย์เสร็จแล้ว แพทย์ จะให้ฟิลม์เอ็กซเรย์กลับไป พร้อมอธิบายผลให้ด้วย แต่ นพ.ฌาโนกล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับโรงพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข ส่งมาให้ตรวจอย่างเดียวไม่ได้แจ้งอะไรไว้ หากอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้ ต้องไปถามผู้ที่พามา สร้างความไม่พอใจให้กับนางเกษรและญาติ เพราะเจ้าหน้าที่จากกรมการประกอบโรคศิลป์ เดินทางกลับไปก่อนหน้านานแล้ว

นางเกษรกล่าวว่า ก่อนหน้าจะเดินทางมาโรง พยาบาลราชวิถี ทางโรงพยาบาลกรุงธน 2 ติดต่อให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แต่ไม่กล้าไปเพราะกลัว ถึงแม้จะออกค่าใช้จ่ายอะไรทั้งสิ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่กรมการประกอบโรคศิลป์เดินทางมา คิดว่าน่าจะช่วยเหลือได้ จึงตัดสินใจเดินทางไปกับเขา แต่ถูกปล่อยลอยแพ ทุกวันนี้เครียดมากแล้ว ยังมาเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก ถ้าเป็นไปได้สิ่งที่อยากได้คือไตเทียม นำมาใส่ในตัว เพราะมีภาระที่จะต้องดูแลอีกมาก



ที่โรงพยาบาลกรุงธน 2 นพ.สุดชาย ปันยารชุน รองกรรมการบริหาร โรงพยาบาลกรุงธน 2 กล่าวต่อผู้สื่อข่าวว่าเพิ่งทราบจากหนังสือพิมพ์ว่าเหตุดังกล่าวมาพัวพันกับโรงพยาบาลด้วย

ตนอยากให้ผู้ป่วยมาตรวจด้วยคอมพิวเตอร์อีกครั้ง เพื่อดูว่ามีไตอยู่หรือไม่ ถึงแม้ไตจะฝ่อก็ยังสามารถเห็นได้ การทำอัลตราซาวด์ทั่วไป บางครั้งไตฝ่ออาจมองไม่เห็น แต่การเข้าคอมพิวเตอร์จะเห็นได้ชัดเจน เพื่อความสบายใจของทุกฝ่ายได้ติดต่อนางเกษร เดินทางมาตรวจ แต่ได้รับการปฏิเสธ นอกจากนี้การตรวจสอบประวัติคนไข้ นางเกษรเดินทางมาผ่าตัดซีสต์มดลูก โดยใช้บัตรประกันสังคม รักษาด้วยการผ่าตัดที่ท้องน้อย ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องกับไต เพราะถ้าจะผ่าตัดไต ต้องผ่าที่สีข้างหรือด้านหลังเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ไตของนางเกษรหายไป มีหลายปัจจัย คือ 1. ไม่มีไต 2.อาจมีไขมันอุดเส้นเลือดทำให้ไตฝ่อ 3.อาจจะเกิดอุบัติเหตุจากครั้งที่แล้ว ทำให้เลือดหล่อเลี้ยงไม่พอ เป็นผลให้ไตฝ่อ และ 4.อ่านฟิลม์เอกซเรย์ไม่ชัดเจน ทั้งนี้โรงพยาบาลไม่เคยมีเรื่องไตหายเกิดขึ้น อยากฝากประชาสัมพันธ์ว่าโรงพยาบาลไม่ได้ทำให้ไตหาย เดี๋ยวประชาชนจะสับสนเข้าใจผิด


ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา นายกแพทยสภา เปิดเผยว่า ให้เจ้าหน้าที่แพทยสภารวบรวมข้อมูลจากทุกโรงพยาบาลที่ผู้เสียหายให้ข้อมูลว่าได้ไปรักษา

เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงว่ามีการขโมยไตตามที่ร้องเรียนหรือไม่ แต่เท่าที่อ่านจากข่าวมีข้อผิดสังเกตบางอย่าง เช่น คนไข้มีอาการปวดท้องน้อย แพทย์ระบุเป็นซีสต์มดลูก ถ้าผู้ป่วยมีปัญหาที่มดลูก ต้องผ่าตัดทางหน้าท้องและด้านล่าง แต่ถ้าเป็นไตจะต้องผ่าตัดทางด้านหลัง อย่างไรก็ตาม ยังไม่อยากพูดอะไรมาก ขอให้ได้ข้อมูลทั้งหมดก่อน
 

“เคยมีกรณีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นข่าวใหญ่โต คนไข้ร้องว่าไตถูกตัดออกไป พอตรวจสอบพบว่ามีเหตุจำเป็นต้องตัด เพราะคนไข้มีก้อนนิ่วขนาดใหญ่มาก อักเสบจนไตเป็นหนอง ถ้าไม่ตัดออกจะทำให้ติดเชื้อ และคนไข้อาจเสียชีวิต แต่คนไข้ไม่เข้าใจ พอสอบสวนขึ้นศาลกันจริงๆ พบว่าหมอไม่ผิด แต่ถ้าผมพูดก็จะหาว่าเข้าข้างหมออีก” นายกแพทยสภากล่าว
 

ขณะที่ พล.ต.อ.จงรัก จุฑานนท์ รอง ผบ.ตร. (ปป.3) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ถ้าปรากฏข้อเท็จจริง มีผู้ผ่าเอาไตนางเกษร พุ่มแจ้ง ไปจริง ย่อมมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 2 ความผิด
 
คือ ความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส และความผิดฐานลักทรัพย์ เพราะไตถือว่าเป็นทรัพย์อย่างหนึ่ง เมื่อนางเกษรไปแจ้งความที่ สน.ราษฏร์บูรณะ ถือเป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนต้องหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี ถือเป็นความผิดตามอาญาแผ่นดิน ทั้งนี้ ได้สั่งการไปยัง พล.ต.ต.วรัญวัส การุณยธัช ผบก.น.8 สืบสวนหาข้อเท็จจริง เพราะเป็นเรื่องประหลาด ประชาชนให้ความสนใจ อย่างไร ก็ตาม ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนว่า ไตนางเกสรหายไปจริงหรือไม่ ต้องเอกซเรย์ให้ชัดเจนอีกครั้ง 


ส่วนกรณีหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับที่ 18439 วันพุธที่ 16 ก.ค. ลงภาพข่าวไตหาย

โดยบรรยายภาพว่านางเกษร พุ่มแจ้ง ชี้ภาพจากแผ่นฟิล์มอัลตราซาวด์ให้ผู้สื่อข่าวดู เปรียบเทียบในช่วงที่ไตข้างขวายังอยู่ก่อนจะหายไป หลังเข้ารับการผ่าตัดก้อนซีสต์ในมดลูกที่โรงพยาบาลธนบุรี 2 นั้น เกิดจากความคลาดเคลื่อน ข้อเท็จจริงแล้วไม่ใช่ที่โรงพยาบาลธนบุรี 2 แต่เป็นโรงพยาบาลกรุงธน 2 จึงขอชี้แจงให้ทราบตามนี้


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์