พ.ต.อ.สุชาติ กล่าวอีกว่า กลุ่มคนร้ายจะขอให้เจ้าของร้านเดิม คงเปิดบัญชีของร้านเดิมต่อไประยะหนึ่งและขอใช้เครื่องชำระเงินผ่านบัตรเครดิตเดิมต่อไป
รวมทั้งจะให้เจ้าของร้านเดิมลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเงินบนเช็คโดยไม่กรอกจำนวนเงินและวันที่ ไว้ให้กลุ่มคนร้าย เมื่อกลุ่มคนร้ายได้เข้าไปดำเนินกิจการจะนำบัตรเครดิตปลอม มาใช้ชำระเงินผ่านเครื่องรูดบัตรเครดิตของธนาคารไทยพาณิชย์ วันละไม่เกิน 2 ครั้ง จำนวนเงินบัตรละไม่เกิน 3 แสนบาท โดยจะใช้เวลาในการทำธุรกรรมปลอมไม่เกิน 15 วัน เมื่อได้รับเงินจากธนาคารเกือบ 30 ล้านบาท คนร้ายก็จะปิดกิจการแล้วนำเงินหลบหนี
“คดีนี้ คนร้ายไปเซ้งกิจการร้านเชิดมั่นแอร์ ย่านมีนบุรี และยังใช้บัตรเครดิตปลอม รูดซื้ออัญมณี จากร้านค้าย่านคลองตัน เขตวัฒนา โดยพฤติการณ์ การใช้บัตรเครดิต มีความผิดปกติ เช่น ใช้บัตรลูกค้าในประเทศสหรัฐ ซื้อแอร์ในเวลา 20.00 น. วงเงิน 39,000 บาท ต่อมาอีก 7 นาที ก็ใช้บัตรเดิมรูดซื้อแอร์อีก 35,000 บาท และยังมีการใช้บัตรเครดิตของชาวอังกฤษรูดซื้อสินค้าในราคา 96,000 บาท ต่อมาอีกไม่กี่นาทีก็ใช้บัตรเดิมรูดซื้อสินค้าอีก 95,000 บาท ซึ่งตามปกติธนาคารจะไม่อนุมัติการใช้บัตรในลักษณะต้องสงสัยดังกล่าว ดีเอสไอจึงสอบสวนขยายผล พบว่า มีเจ้าหน้าที่ธนาคารเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด โดยมีเงินสดโอนเข้าบัญชี 100,000 บาท ดีเอสไอจึงได้ออกหมายจับเจ้าหน้าที่ธนาคารด้วย”พ.ต.อ.สุชาติ กล่าว
พ.ต.อ.สุชาติ กล่าวอีกว่า คดีจับกุมผู้ต้องหาได้ 3 คนคือ นายสุรพล ป้องกา อายุ 44 ปี หรือเสธแดงเล็ก เป็นนายทหารนอกประจำการ
น.ส.จินตนา แซ่โง้ว อายุ 46 ปี และนายวีระสิทธิ์ มุงอินทร์ อายุ 38 ปี ส่วนผู้ต้องหาอีก 9 คน ยังหลบหนี ในเบื้องต้นแจ้งข้อหาใช้บัตรอิเลคโทรนิกส์ปลอม มีโทษจำคุก 1-7 ปี ปรับ 20,000-140,000 บาท แต่คดีนี้เป็นการนำบัตรไปใช้ชำระค่าสินค้าแทนเงินสด ผู้ต้องหาจึงต้องรับโทษเพิ่มขึ้นอีกกึ่งหนึ่ง จึงขอเตือนประชาชนผู้ใช้บัตรเอทีเอ็มและบัตรเครดิต ให้ระวังอาจตกเป็นเหยื่อ โดยทุกครั้งที่ใช้บัตรเครดิตชำระค่าสินค้าหรือบริการให้ตรวจสอบอย่างละเอียด หากจำเป็นต้องนำบัตรไปกดเงินสดผ่านตู้เอทีเอ็มขอให้ระมัดระวัง.