ด้านนายนิกร จำนง รองหัวหน้าพรรคในฐานะ ผอ.พรรคชาติไทย
กล่าวถึงข่าวของนายเอกพจน์ว่า ตนได้ให้คำแนะนำนายเอกพจน์ไปเฉพาะเรื่องการชี้แจงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินว่า ควรจะดำเนินการให้ถูกต้องและเคลียร์ปัญหานี้ให้จบโดยเร็ว เพราะเราเป็น ส.ส. ถือว่าเป็นบุคคลสาธารณะ นายเอกพจน์รับปากว่าเรื่องนี้ไม่มีปัญหา ยืนยันว่าชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ตามข้อเท็จจริง ส่วนเรื่องปัญหาภายในครอบครัว ไม่ขอให้ความเห็น เพราะถือเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน
ขณะที่นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.ศรีสะเกษ พรรคชาติไทย กล่าวว่า อ่านข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์แล้ว รู้สึกว่ามันขัดแย้งกับคนที่เรารู้จัก
ไม่รู้ว่าข่าวที่ลงมันเกินจริงไปหรือไม่ เพราะเท่าที่รู้จักและร่วมงานกับ ส.ส. เอกพจน์ สัมผัสได้ว่าเป็นคนสุภาพ และให้เกียรติสตรีเพศน้องๆ ส.ส.รุ่นใหม่มีปัญหาอะไรไปปรึกษาหารือได้ตลอดเวลา ไม่ค่อยเชื่อข่าวเท่าไหร่ ส่วนปัญหาเรื่องภายในครอบ ครัวของนายเอกพจน์ตนไม่ขอก้าวล่วงและแสดงความคิดเห็นเพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละครอบครัว ที่มีรายละเอียดแตกต่างกันออกไป
“วันนี้ก็ได้คุยเรื่องพี่เอกพจน์กับพี่ๆเพื่อนๆ ส.ส.ทั้งพรรคชาติไทยและพรรคประชาธิปัตย์ ต่างตกใจในข่าวที่เกิดขึ้น เพราะพี่เอกสุภาพมากเป็นที่ไว้วางใจของผู้ใหญ่ในพรรค ส่วนปัญหาสุขภาพที่ถูกระบุว่าเป็นโรคร้ายก็ไม่เคยเห็นว่าพี่เขาจะมีปัญหาด้านสุขภาพอะไร มาทำงานเข้าประชุมทั้งที่พรรคและที่สภาฯ”
ด้านนางชลธิชา ปานแย้ม หรือบุ๋ม ภรรยานายเอกพจน์ ปานแย้ม ส.ส.ปทุมธานี รองโฆษกพรรคชาติไทย
ได้ออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้งโดยเล่าถึงชีวิตรักทรหดกับสามีอดีตนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ว่า เรื่องการขอหย่า บุ๋มเป็นฝ่ายขอหย่ามาตั้งแต่รู้ว่านายเอกพจน์มีเมียน้อย ตอนสงกรานต์ปี 2546 เพราะน้องชายไปเจอนายเอกพจน์กับผู้หญิง ซึ่งเขาก็ยอมรับว่ามีเมียน้อยจริง ช่วง 6 ปีแรกเราก็รู้มาตลอดว่าเขามีเมียน้อย ลูกก็รู้เพราะลูกไปที่สำนักงานของเขาก็เจอ งานศพพ่อนายเอกพจน์ทำพิธี 9 วัน เขาก็เอาเมียน้อยคนนี้มาที่งานทั้ง 9 วัน เราก็ถามตัวเองว่าเราทนอยู่ได้อย่างไร
“8 ปีบุ๋มไม่ได้ทำอะไรผิด แล้วทำไมต้องหย่าให้ง่ายๆ หย่าให้ตอนนี้บุ๋มไม่เหลืออะไรเลย บ้านก็ไม่ใช่ชื่อเราแล้ว ทั้งๆที่เป็นบ้านแม่ของบุ๋ม ตอนนี้หมดตัวทั้งๆที่ไม่ได้ก่อหนี้ก่อสิน เดือนที่แล้วบุ๋มตั้งใจจะให้ลูกไปเรียนที่อังกฤษ แม่บุ๋มที่อยู่อังกฤษจัดการเรื่องเรียนไว้ที่นั่นแล้ว แต่พอดีพ่อของเอกพจน์เสีย ก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนเขา ก็บอกกับแม่ว่าจะให้หลานรอเผาปู่ก่อน แต่อยู่ดีๆเขาบอกว่าจะเลิก เราก็โอเค แต่ขอเอกสารการเรียนของลูก เขาบอกเลิกบุ๋มเมื่อกลางเดือนที่แล้ว แต่กว่าจะได้เอกสารการเรียนของลูกเมื่อต้นเดือน แต่มันเปิดเทอมไปแล้ว ทั้งๆที่เราบอกว่าขออย่างช้าที่สุดสิ้นเดือน พ.ค. แต่เอามาให้กลางเดือน มิ.ย.ทิ้งไว้ ร้านซักรีด
ดังนั้น เงินล่วงหน้าก็เสียไปฟรีๆ ใครกันแน่ที่ทำให้ลูกไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะโรงเรียนบอกว่าถ้าไม่มี
เอกสารจากโรงเรียนเดิมทางโรงเรียนใหม่ก็ทำอะไรไม่ได้ เอกสารต้องเซ็นชื่อทั้ง 2 คน เขาบอกว่าเขาไม่มีเงินให้ ลูกเรียน แต่แม่เขามีเงินซื้อที่ดินเป็นสิบๆแห่ง เปลี่ยนรถกันเป็นว่าเล่น แถมซื้อจาร์กัวมาอีก 1 คัน แต่เงินเติมน้ำมันไปส่งลูกเรียนไม่มี ทุกวันนี้ไม่ได้ให้ค่าใช้จ่ายลูก จะกินอยู่กันอย่างไร ตัวเองขับรถจาร์กัวรุ่นใหม่ ซื้อมาตอนหลังเลือกตั้ง แต่ลูกกับเมียแทบจะอดกันเลย” นางชลธิชากล่าว
นางชลธิชากล่าวด้วยว่า ครอบครัวตัวเองมีฐานะดีอยู่แล้ว
ตอนนี้แม่บุ๋มแบ่งรายได้จากการทำร้านอาหารอยู่ที่อังกฤษให้บุ๋มกับลูกคนละ 10% ถ้าแม่บุ๋มเป็นอะไรไป ลูกบุ๋มจะมีเงินอย่างน้อย 30 ล้านบาท และทรัพย์สินที่บุ๋มจะต้องได้ แม่บุ๋มได้โอนมาให้กับลูกสาวบุ๋มหมดแล้ว
วันเดียวกัน ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ สัมภาษณ์กรณีนางชลธิชา ปานแย้ม ภรรยานายเอกพจน์ ปานแย้ม ส.ส.ปทุมธานี พรรคชาติไทย ยื่นฟ้องดำเนินคดีอาญากับนายเอกพจน์ข้อหาทำร้ายร่างกายและแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จว่า ที่ประชุม ป.ป.ช.ได้มีการหารือกันในกรณีของนายเอกพจน์ ตามที่มีสื่อมวลชนเสนอข่าว และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.ไปรวบรวมและตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงในเบื้องต้น เพื่อเสนอต่อที่ประชุม ป.ป.ช.ชุดใหญ่โดยเร็วว่าจะต้องตั้งคณะกรรมการอนุกรรมการขึ้นมาไต่สวนเรื่องดังกล่าวต่อไปหรือไม่ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ต้องไปขอคำฟ้องที่นางชลธิชายื่นต่อศาลมาศึกษารวมถึงคงต้องเรียกนางชลธิชามาให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. ตลอดจนจะต้องมีการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินฯของนายเอกพจน์ย้อนหลังด้วย เนื่องจากมีการระบุว่าแจ้งบัญชี เท็จมาโดยตลอด คาดว่าคงใช้เวลาตรวจสอบระยะหนึ่ง ยังกำหนดไม่ได้ว่าจะใช้เวลาเท่าใดแต่จะเร่งดำเนินการโดยเร็ว