ซึ่งศาลชั้นต้น มีคำพิพากษา เมื่อวันที่ 15 ส.ค.50 ให้ประหารชีวิต
แต่จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกตลอดชีวิต และให้จำเลยคืนทรัพย์หรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนเป็นเงิน 3,090 บาท แก่เจ้าของ พร้อมทั้งให้จำเลยชำระเงินจำนวน 720,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป โดยจำเลย ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษสถานเบา
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวน ประชุมหารือแล้วเห็นว่า ตามคำเบิกความของ น.ส.นาฎตยา มารดา ซึ่งเป็นเพื่อนกับจำเลยที่มีลักษณะเป็นกระเทย ได้ความว่า
ก่อนเกิดเหตุได้ชักชวนจำเลยไปรับประทานอาหารกับเพื่อนที่ร้านดาวแดงสาดแสงเดือน ระหว่างนั้นพยานได้โทรศัพท์ไปหา ด.ญ.นฤนาท บอกให้เข้านอนและไม่ต้องรอ เพราะจะกลับดึก ปรากฏว่าจำเลยได้ขอตัวกลับบ้านก่อนอ้างว่ามารดาตามให้กลับบ้าน จนกระทั่งร้านปิดได้ตระเวนขับรถส่งเพื่อนกลับบ้าน จากนั้นได้เดินทางกลับบ้านพัก พบว่าประตูบ้านถูกเปิดอ้าไว้ มีเพียงแสงไฟจากห้องน้ำที่เปิดทิ้งอยู่ เมื่อเข้าไปดูพบศพลูกสาวนอนเปลือยกายเสียชีวิตอยู่ภายใน มีเลือดไหลเต็มห้องน้ำ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบว่าโทรศัพท์มือถือของลูกสาวหายไปพร้อมทรัพย์สินต่างๆ จากการสืบสวนทราบว่าจำเลยเป็นผู้นำโทรศัพท์มือถือไปขายที่ห้างเซียร์ รังสิต
นอกจากนี้โจทก์ ยังมีพนักงานขายโทรศัพท์มือถือที่ระบุว่า
จำเลยเป็นผู้นำโทรศัพท์มือถือมา และได้ทำบันทึกรายละเอียดในการซื้อขายไว้เป็นหลักฐานด้วย ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมจำเลยได้ พร้อมให้การรับสารภาพว่า กลัวว่า ด.ญ.นฤนาท ที่เห็นพยานกำลังรื้อค้นทรัพย์สินอยู่จะนำเรื่องไปบอก น.ส.นาฎตยา จึงต้องฆ่าปิดปาก
ศาลเห็นว่าพยานทั้งสองปากเบิกความเชื่อมโยงกันปราศจากข้อพิรุธสงสัย แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่เห็นเหตุการณ์ แต่การที่จำเลยมีโทรศัพท์ของผู้ตายอยู่ในครอบครอง ย่อมเป็นเครื่องบ่งชี้ที่แน่ชัดอย่างแน่นหนักว่า
จำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของผู้ตาย สอดคล้องกับการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุที่ไม่พบร่องรอยการงัดแงะ เชื่อว่าผู้ตาย เปิดประตูให้จำเลยเข้าไปในบ้านด้วยความไว้วางใจ เชื่อว่าจำเลยให้ข้อเท็จจริงด้วยความสมัครใจ ที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่าจำเลยมุ่งหวังเอาทรัพย์สิน แต่เมื่อผู้ตายมาเห็นกลับไม่สำนึกในการกระทำความผิด กลับก่อเหตุฆ่าผู้ตายด้วยความโหดเหี้ยม ทารุณ ทั้งที่ผู้ตายไม่มีทางต่อสู้ได้ แม้ขณะก่อเหตุจำเลยจะมีอายุเพียง 19 ปี แต่จำเลยควรจะทราบดีว่าการกระทำดังกล่าวมีความผิดตามกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษานั้น เหมาะสมต่อรูปคดีแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน.