เมื่อเกิดกรณีแม่กับพ่อเลี้ยงตระเวนพาลูกน้อย 2 คน อายุ 15 ปี กับ 5 ขวบ ออกขอทานหาเงินใช้ แบบชนิดค่ำไหนนอนนั่น ขับรถปิกอัพคันใหม่เอี่ยมพาลูกๆ ออกขอทาน เพื่อหาเงินมาส่งรถ และเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายภายในครอบครัว ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้สร้างความสลดหดหู่ใจให้กับผู้พบเห็นยิ่งนัก สุดท้ายมีชาวบ้านอดรนทนไม่ไหวนำความเข้าแจ้งตำรวจบุกจับสองผัวเมียคู่นี้ทันที ไม่น่าเชื่อว่าจะทำกับเด็กได้ขนาดนี้
แต่สิ่งที่ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องอึ้งซ้ำสอง เห็นจะเป็นคำให้การของเด็กที่ระบุว่าเต็มใจเป็นขอทานเพื่อหาเงินช่วยพ่อแม่
จะเลิกก็เลิกไม่ได้เพราะแม่ไปซื้อรถกระบะกับมอเตอร์ไซค์ ทำให้มีภาระต้องผ่อนจ่ายทุกเดือน ไหนจะค่าใช้จ่ายภายในบ้าน ค่าน้ำมันและค่ากับข้าวอีกจิปาถะ เมื่อขอทานได้เงินดีจึงทำแบบนี้เรื่อยมา ถ้าไม่ทำก็ไม่รู้จะไปหาเงินที่ไหน!?? ย้อนไปดูเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นตอนบ่ายวันที่ 16 พ.ค. พล.ต.ต.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ผบก.ภ.จว.อ่างทอง พ.ต.อ.รวีโรจน์ กองกันภัย ผกก.สภ.เมืองอ่างทอง แถลงข่าวการจับกุมนายสมชาย (นามสมมติ) อายุ 46 ปี และน.ส.สมหญิง (นามสมมติ) อายุ 33 ปี ภรรยา สองสามีภรรยา ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่จ.ชัยภูมิ ซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาในคดีบังคับ ขู่เข็ญ ชักจูง ชี้นำให้เด็กเป็นขอทาน หรือกระทำการอื่นใดเป็นการแสวงหาประโยชน์จากเด็ก โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าศาลเจ้าพ่อกวนอูอ่างทอง ถนนสายอ่างทอง-สิงห์บุรี ต.ตลาดหลวง อ.เมืองอ่างทอง พร้อมเหรียญสตางค์ชนิดต่างๆ จำนวน 15,436 บาท รถกระบะยี่ห้อ อีซูซุ หมายเลขทะเบียน ลฐ 9220 กรุงเทพมหานคร 1 คัน จึงรวบรวมไว้เป็นหลักฐาน
ทั้งนี้ ตำรวจได้รับแจ้งจากพลเมืองดี ว่า พบด.ญ.เอ (นามสมมติ) อายุ 15 ปี และด.ญ.บี (นามสมมติ) อายุ 5 ขวบ
ซึ่งเป็นพี่น้องกัน เดินตระเวนขอเศษเงินจากประชาชนในตลาดสดเทศบาลเมืองอ่างทองอย่างน่าสงสาร ซึ่งก่อนหน้านี้มีคนเห็นว่ามีผู้ใหญ่ขับรถกระบะพาเด็กมาส่งเพื่อขอทาน จึงแจ้งตำรวจให้ดำเนินการตรวจสอบและหาทางช่วยเหลือ เมื่อเป็นเช่นนั้นตำรวจเมืองอ่างทองจึงรุดไปตรวจสอบพร้อมสอบปากคำเด็กทั้ง 2
โดยหนูน้อยให้การ ว่า ถูกนายสมชายซึ่งเป็นพ่อเลี้ยงและน.ส.สมหญิง ซึ่งเป็นแม่แท้ๆ ขับรถพาตระเวนไปขอทานตามสถานที่ต่างๆ มานานแล้ว
ทำกันแบบมืดที่ไหนนอนที่นั่น ในแต่ละวันจะมีผู้ใจบุญให้ทานประมาณ 800-1,000 บาท ซึ่งครั้งนี้เดินทางมาจากจ.ชัยภูมิ เพื่อมาขอทานที่จ.อ่างทองโดยเฉพาะ ก่อนหน้านี้พ่อแม่พาออกขอทานตั้งแต่อายุได้ 8 ขวบ เพราะเมื่อก่อนทำอาชีพขายลูกโป่ง แต่ขายไม่ดี จึงตระเวนขอทานเรื่อยมาเป็นเวลานานกว่า 7 ปี โดยแม่นำเงินที่ได้ไปซื้อรถกระบะและรถมอเตอร์ไซค์ ทำให้ในแต่ละเดือนจึงมีภาระในการผ่อนส่งงวดรถ พวกตนจึงสงสารแม่และยอมขอทานเพื่อหาเงินช่วยแม่ ทั้งที่ความจริงแล้วก็ไม่อยากเป็นขอทาน อยากเรียนหนังสือเหมือนเด็กคนอื่นๆ เหมือนกัน
ไม่คิดว่าการเป็นขอทานจะทำให้พ่อแม่มีความผิดแบบนี้
ต่อมาเจ้าหน้าที่สืบทราบว่านายสมชายกับน.ส.สมหญิง ได้จอดรถรอเด็กอยู่ที่บริเวณศาลเจ้าพ่อกวนอูจึงไปเชิญตัวมาสอบปากคำ พร้อมตรวจค้นในรถพบเหรียญสตางค์จำนวนมากซุกซ่อนในถุงปุ๋ย นับรวมกันได้หมื่นกว่าบาท เป็นเงินที่ได้มาจากการขอทานล้วนๆ
นายสมชายให้การรับสารภาพ ว่า เพิ่งมาอยู่กินกับน.ส.สมหญิงได้ไม่นาน
ตอนแรกมีอาชีพขายลูกโป่งตามสถานที่ทั่วไป แต่รายได้ไม่เพียงพอ จึงชักจูงให้ลูกเลี้ยงไปขอทานและพบว่ามีรายได้ดี จึงให้ออกจากโรงเรียนและออกตระเวนขอทานไปตามจังหวัดต่างๆ สถานที่ใดมีคนให้ทานมาก ก็จะปักหลักอยู่นานหลายวัน จากนั้นจะเดินทางกลับบ้านจ.ชัยภูมิ แต่ไม่ได้ทำร้ายเด็กแต่อย่างใด
ขณะที่น.ส.สมหญิง แม่ของเด็กหญิง กล่าวว่า ไม่ได้บังคับขู่เข็ญลูกแต่อย่างใด
เพียงแต่บอกกับลูกว่าไปขอทานเขา ต้องพูดกับเขาดีๆ เพื่อเขาจะได้ให้สตางค์มาก จะได้นำเงินไปผ่อนรถ ซื้ออุปกรณ์สร้างบ้านใหม่ที่ดีขึ้น ซึ่งลูกก็ทำตาม และยอมรับว่ามีรายได้จากตรงนี้ โดยตนไม่รู้ว่ามีความผิด เพราะไม่ได้บังคับตบตีลูก เราดำเนินชีวิตของเราเช่นนี้มานานแล้ว จากการสอบปากคำแม่เด็กกับพ่อเลี้ยง พบว่าทั้งสองคนให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี แต่ก็ยังมีข้อมูลบางอย่างที่ยังไม่กระจ่างชัด เหมือนยังปกปิดข้อมูลบางอย่างอยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้ขยายผลลงลึกต่อไป ว่านอกเหนือจากให้ลูกขอทานแล้วยังเคยชักจูงผู้อื่นให้เป็นขอทาน หรือมีกระบวนการมีเครือข่ายแอบแฝงอีกหรือไม่
ในชั้นนี้พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาเพื่อดำเนินคดีพ่อเลี้ยงและแม่ของเด็กหญิงทั้งสองคน เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
ส่วนเด็กทั้ง 2 ตำรวจอ่างทองได้ประสานสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มารับตัวไปดูแลเพื่อฟื้นฟูทักษะทางด้านต่างๆ โดยเด็กยินยอมและแสดงความดีใจ ในกรณีนี้นายมนตรี สินทวิชัย หรือ "ครูยุ่น" เลขาธิการมูลนิธิคุ้มครองเด็ก ออกมากล่าวว่า ปัญหาพ่อแม่นําลูกมาขอทาน เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานาน และหากว่าเราสังเกตดีๆ จะพบมีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังถูกยัดเยียดให้รับผิดชอบ ซึ่งเกิดจากทรรศนะของพ่อแม่ที่มองเด็กเป็นทรัพย์สินที่ต้องรับผิดชอบด้วย เมื่อเด็กโตขึ้นก็จะมีปัญหาทางสังคมตามมา เขาจะมองชีวิตตัวเองว่าไม่เหมือนคนอื่นและเด็กก็จะหลุดง่าย การตัดสินใจต่างๆ ก็จะไม่แคร์ใครทั้งสิ้น
ทั้งนี้ อยากให้รัฐบาลเร่งเข้ามาช่วยกู้ชีวิตเด็กกลุ่ม และให้หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กใช้กฎหมายนี้อย่างจริงจัง เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้ได้ระบุไว้ชัดเจนว่าหากผู้ปกครองปล่อยปละละเลยไม่ดูแลลูกหรือบังคับขู่เข็ญไปเป็นเครื่องมือขอทานก็สามารถจับกุมได้ทันทีเด็กไม่ควรถูกกระทำแบบนี้