เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 27 เม.ย. ที่ กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษ (ตปพ.) พล.ต.ต.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบก.ตปพ.
พร้อมด้วย พ.ต.อ.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น รอง ผบก. ตปพ. พ.ต.อ.สุมิตร คุณานุคุณ ผกก.1 (สายตรวจ) บก.ตปพ. หรือ 191 แถลงข่าวจับกุมนายโมฮัมเหม็ด การิม หรือฉายากามา อายุ 56 ปี ชาวบังกลาเทศ พร้อมของกลางหนังสือเดินทางประเทศต่างๆ 90 เล่ม หนังสือเดินทางปลอม 577 เล่ม แผ่นปะตรวจดวงตราปลอม (วีซ่าปลอม) ของประเทศต่างๆจำนวน 680 แผ่น แผ่นหนังสือเดินทางปลอมของประเทศสหรัฐอเมริกา 1,680 แผ่น แผ่นข้อมูลหนังสือเดินทางส่วนมีรูปเจ้าของเล่มจำนวน 515 เล่ม เครื่องคอมพิวเตอร์ซีพียู 2 เครื่อง เครื่องปรินเตอร์ 2 เครื่อง เครื่องสแกนเนอร์ 1 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์ในการทำหนังสือ เดินทางปลอมอีก 339 รายการ รวมมูลค่าหลายสิบล้านบาท แจ้งข้อหาร่วมกันปลอมหนังสือเดินทางและมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งหนังสือเดินทางปลอมตามมาตรา 269/8 และร่วมทำปลอมขึ้นซึ่งดวงตรา รอยตรา หรือแผ่นปะตรวจลงตราอันใช้ในการตรวจลงตราสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ ตามมาตรา 269/12 โดยจับกุมได้ที่บ้านเลขที่ 388/87 หมู่ 2 ถนนเพชรเกษม ซ.62/3 แขวงและเขตบางแค ฝั่งธนบุรี
ผบก.ตปพ.กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจับกุม ติดตามพฤติการณ์ของผู้ต้องหารายนี้มานานกว่า 3 เดือน
หลังสืบทราบว่านายโมฮัมเหม็ดรับจ้างทำพาสปอร์ตปลอมให้กับผู้ที่ต้องการเดินทางไปประเทศต่างๆในทวีปยุโรป โดยเฉพาะฝรั่งเศส เบลเยียม สเปน รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กับเมืองไทย เมื่อทราบที่อยู่และมีหลักฐานครบถ้วน จึงขออนุมัติหมายค้นศาลจังหวัดตลิ่งชัน เลขที่ ค.210/2551 ลงวันที่ 25 เม.ย.2551 เข้าตรวจค้น พบของกลางดังกล่าวอยู่บนชั้น 2 ของบ้าน ซึ่งการจับกุมครั้งนี้ นับเป็นการทลายแหล่งปลอมหนังสือ เดินทางรายใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา สำหรับโทษความผิดเกี่ยวกับหนังสือเดินทางปี 2550 มาตรา 269/9 ระบุผู้ใดจำหน่ายหรือมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งหนังสือเดินทางปลอมตามมาตรา 269/8 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามถึงยี่สิบปี ปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสี่แสนบาท ซึ่งจะขยายผลต่อไปว่ากรณีนี้ เข้าข่ายกฎหมายฟอกเงินหรือไม่ ทั้งนี้ ผู้ต้องหาเคยถูกจับกุมข้อหาปลอมแปลงหนังสือเดินทางมาแล้วถึง 2 ครั้ง เมื่อปี 2546 และ 2549
ด้านนายโมฮัมเหม็ด การิม ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่า ร่วมกับเพื่อนชื่อนายถิ่นอู ชาวพม่า
หรือใช้ ชื่อตามบัตรประชาชนนายสมชาย ทินวงศ์ ที่หลบหนี รับจ้างทำพาสปอร์ตปลอมมานานประมาณ 2 ปี จนร่ำรวยซื้อบ้านให้ลูกเมียคนไทยอยู่อย่างสบาย โดยเช่าบ้านดังกล่าวไว้เป็นสถานที่ปลอมแปลง สำหรับเล่มตัวจริงที่ขโมยมาเปลี่ยนเฉพาะใบหน้าเจ้าของพาสปอร์ต จะจำหน่ายในราคาฉบับละ 1 หมื่นบาท ส่วนเล่มที่ปลอมทั้งฉบับ จะขายเล่มละ 3-4 พันบาท ภายหลังเจ้าหน้าที่สอบสวนแล้ว ได้ส่งตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางให้พนักงานสอบสวน สน.หลักสอง ดำเนินคดี