ที่ศาลอาญา วันที่ 10 เม.ย. พระสกล จิรวํโส พระนเรศ คุณากโร และพระวทัญญู อธิมนฺติโก พระลูกวัด วัดมกุฎกษัตริยาราม พร้อมทนายความ
นำหลักฐานใบปลิวการจัดสร้างวัตถุมงคล เดินทางไปเป็นโจทก์ยื่นฟ้องพระพรหมมุนี (จุนท์ พราหมณ์พิทักษ์) รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดมกุฎกษัตริยาราม และรักษาการคณะใหญ่ ธรรมยุตนิกาย เป็นจำเลยในคดีดำที่ 1343/51 ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157
คำฟ้องบรรยายสรุปว่า
เมื่อประมาณ พ.ศ. 2550 ที่ประชุมสงฆ์วัดมกุฎกษัตริยาราม ในวันปาติโมกข์ หรือวันที่พระสงฆ์จะทำพิธีสวดทบทวนศีล 227 ข้อ ทุกวันพระให้วินิจฉัยอธิกรณ์ หรืออาปัตตาธิกรณ์ อันได้แก่เหตุ โทษ คดี เรื่องราว ตามพระธรรมวินัยของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากกรณีที่มีพระภิกษุในวัด 4 รูป คือพระพิศาลมุนี (วรรณณรงค์ ฐิตาณโณ) พระราชวินัยโสภณ (บุญธรรม ปุญญมโย) พระครูสิทธิธรรมมงคล (พระมหาประพันธ์ ปภสฺสโร) และพระกรกฤษณ์ กมลสุทฺโธ ที่ประพฤติผิดล่วงละเมิดพระธรรมวินัยข้อ อทินนาทาน อันติมวัตถุ คือ การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้แก่ตน
ทั้งนี้ ภิกษุทั้ง 4 ร่วมกันจัดสร้างพระสมเด็จ หลังอัญเชิญพระคาถายอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎก
และหลังอัญเชิญพระคาถาชินบัญชรจารึกพิเศษ แล้วจัดสร้างพระเทวราชโพธิสัตว์จอมจักรพรรดิทะเลใต้ หรือจตุคามรามเทพ อันเป็นวัตถุมงคลต่างๆให้เช่า โดยไม่นำเงินซึ่งไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด ไปเป็นประโยชน์ส่วนตนและพวก พระภิกษุทั้ง 4 รูป ต้องขาดจากการเป็นภิกษุ ต้องถูกจับสึกจากสมณเพศ ซึ่งเป็นอำนาจหน้าที่ของจำเลย ในการดำเนินการปกครองให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย ตามระเบียบข้อบังคับ กฎมหาเถรสมาคม
โดยเฉพาะกรณีนี้ จะต้องมีการวินิจฉัยการลงนิคหกรรม (ชื่อกรรมที่สงฆ์ทำแก่ภิกษุที่ควรปราบปราม เพื่อให้เข็ดหลาบ) และจำเลยต้องมีบัญชาออกคำสั่งให้พระ 4 รูป สละสมณเพศ แต่ปัจจุบันบุคคลทั้ง 4 ยังคงแต่งกายเป็นพระภิกษุ มีที่อยู่
และพำนักอาศัยอยู่ในวัดมกุฎกษัตริยาราม โดยไม่มีสิทธิ์ปฏิบัติตนเช่นเดียวกับพระภิกษุของวัดมกุฎกษัตริยาราม นอกจากนี้ ยังคงหาเงินและผลประโยชน์อย่างเป็นขบวนการตลอดมา การที่จำเลยนิ่งเฉย ไม่สนใจควบคุม ทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างคณะสงฆ์ เป็น 2 กลุ่ม แตกแยกจากความสามัคคี ต่างฝ่ายต่างไม่ร่วมลงอุโบสถสังฆกรรมต่อกัน จนไม่อาจอยู่ร่วมกันในวัดได้อย่างผาสุก
อนึ่ง โจทก์ทั้ง 3 ร่วมกันฟ้องจำเลย ก็เพื่อรักษาหลักพระธรรมวินัย เพื่อความสงบเรียบร้อยอันดีงามของคณะสงฆ์ เพื่อผดุงพุทธศาสนาให้ยั่งยืนสืบไป
โจทก์ไม่มีทางใดที่จะดำเนินการเพื่อรักษาพระพุทธศาสนา ที่ประชาชนคนไทยนับถือมากที่สุดไว้ได้แล้ว จึงต้องนำคดีมาสู่ศาลเพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่งศาลรับคำฟ้องไว้พิจารณา และนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ในวันที่ 9 มิ.ย. นี้ เวลา 09.00 น. ซึ่งภิกษุทั้ง 3 รูปที่ยื่นฟ้องจะต้องไปเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องด้วยตัวเอง หากศาลไต่สวนแล้วมีมูล จะสั่งประทับรับฟ้องต่อไป