หลังจากมีการเปิดโปงความวิปริตผิดเพี้ยนของสังคมมนุษย์ที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ
โดยบรรดาตุ๊ด แต๋ว กะเทย วัยกระเตาะ ที่อยากจะเปลี่ยนเพศจากชายเป็นหญิง พากันหันไปใช้วิธีการตัดลูกอัณฑะหรือ “ตัดไข่” ทิ้ง จนกลายเป็นแฟชั่นฮิต โดยเสียค่าใช้จ่ายเพียง 4,000-5,000 บาท ถูกกว่าการผ่าตัดแปลงเพศ “เฉาะจิ๋ม” ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงินหลายแสนบาท โดยเชื่อว่าการตัดไข่ทิ้งจะทำให้รูปร่างผิวพรรณดี มีความ เป็นหญิงมากขึ้น กอปรกับมีกระแสข่าวว่า จะมีกฎหมายให้บรรดาบุคคลประเภทสอง สามารถใช้คำนำหน้าว่า “น.ส.” ได้ ทำให้บรรดาผู้ปกครองของบรรดาตุ๊ด แต๋วและกะเทยวัยกระเตาะเหล่านี้ เกิดความวิตกกังวลและเป็นห่วงลูกหลาน ว่าอาจมีอันตรายต่อชีวิตในอนาคต
ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 27 มี.ค. นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยว่า
คงต้องกำชับผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้เข้มงวดในเรื่องดังกล่าวเพราะการผ่าตัดอัณฑะในเด็ก ที่ยังไม่ บรรลุนิติภาวะน่าเป็นห่วง นอกจากนี้ จะต้องตรวจดูกฎหมายให้เข้มงวด ไม่ใช่นึกจะทำก็ทำ ยืนยันว่าโรง พยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ไม่มีการให้บริการลักษณะนี้ การกระทำของแพทย์ลักษณะนี้น่าถูกตำหนิ ต่างกับกรณีที่แพทย์ถูกฟ้องร้อง เพื่อปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือ ชีวิตคน ที่ควรให้การช่วยเหลือ
บ่ายวันเดียวกัน องค์กรเครือข่ายอัตลักษณ์ทางเพศ นำโดยนายนที ธีระโรจนพงษ์ ผู้อำนวยการกลุ่มเกย์การเมืองไทย
เดินทางมายังสำนักงานแพทยสภา ยื่นหนังสือร้องเรียนให้ยับยั้งและตรวจสอบการดำเนินการ ของผู้ประกอบวิชาชีพที่ผ่าตัดลูกอัณฑะให้กับเด็กชายรักชาย นายนทีกล่าวว่า การยื่นหนังสือเพื่อเรียกร้องให้ แพทยสภามีคำสั่ง ประกาศ หรือยุติการผ่าตัดลูกอัณฑะโดยไม่มีข้อแม้ ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น เพราะหากต้องรอต่อไป ไม่รู้ว่าจะมีลูกอัณฑะถูกตัดไปอีกกี่ฟอง รวมถึงต้อง การให้แพทยสภาเชิญองค์กรเครือข่ายฯ มาร่วมให้ข้อมูลในเรื่องดังกล่าว เพื่อจะได้มีส่วนร่วมในการพิจารณาว่าอายุเท่าไหร่จึงเหมาะสมที่จะทำการผ่าตัดแปลงเพศ หรือ การตัดลูกอัณฑะออกมีผลดี ผลเสียอย่างไร เราไม่ได้ ต่อต้านการแปลงเพศ แต่อยากให้ถึงในวัยที่สมควรบรรลุนิติภาวะแล้ว และอยากเรียกร้องให้แพทยสภาจัดเสวนาระหว่างจิตแพทย์ กับกลุ่มชายรักชายว่าเข้าใจในตัวตนกลุ่มชายรักชาย เกย์ ตุ๊ด กะเทยอย่างไร และหากเป็น จะต้องแปลงเพศหรือไม่
นพ.อำนาจ กุสลานันท์ เลขาธิการแพทยสภา กล่าวภายหลังรับหนังสือร้องเรียนดังกล่าวว่า
ได้ตั้งคณะอนุกรรมการ ร่างข้อบังคับแพทยสภาด้วยหลักเกณฑ์ การทำศัลยกรรมแปลงเพศ พ.ศ.โดยมีนพ.สมศักดิ์ โล่เลขา นายกแพทยสภาเป็นประธาน มีตัวแทนจากผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย สมาคมศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะแห่งประเทศไทย สมาคมศัลยกรรมและเวชศาสตร์ เพื่อการเสริมสวยประเทศไทย ฯลฯ ซึ่งจะเริ่มประชุมนัดแรกในเดือนเมษายนนี้ ทั้งนี้ จะเชิญนายนทีและองค์กรเครือข่ายฯ มาให้ข้อมูลถึงสถานพยาบาลและแพทย์ผู้ดำเนินการผ่าตัดดังกล่าว เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะอนุกรรมการจริยธรรม เพื่อสอบสวนด้านจรรยาบรรณวิชาชีพต่อไป