เมื่อเวลา 04.30 น. วันที่ 4 ม.ค. นายอยู่ เสนาธรรม หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน จังหวัดฉะเชิงเทรา
รับแจ้งจากนายบุญเลิศ ใจสอน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 7 ต.คลองตะเกรา อ.ท่าตะเกียบ ว่า นางนิตยา เมยไธสงค์ อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 149 ซึ่งเป็นลูกบ้าน พบเห็นวัวกระทิงขนาดใหญ่ ออกมากินน้ำที่สระน้ำข้างแปลงปลูกมันสำปะหลัง จากนั้นเดินเข้าไปซ่อนอยู่ชายป่าเขาผักหวาน ติดกับเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน สังเกตอาการเหมือนกับได้รับบาดเจ็บ โดยเฉพาะที่ข้อเท้าขวาหลังมีเชือกยาวพันติดอยู่ รูปร่างผอมโซ
หลังรับทราบข้อมูล จึงประสานงานกับนายดุลสิทธิ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ที่ปรึกษา เดินเท้าเข้าไปดู
พบที่ป่าละเมาะ ที่เคยเป็นแอ่งน้ำ มีหญ้าปกคลุมสูง พบวัวกระทิงขนาดใหญ่ 1 ตัว ยืนจังก้าอยู่ แกว่งหางไปมา พร้อมส่งเสียงขู่และทำท่าจะชาร์จเข้าใส่ สังเกตเห็นอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าหลังด้านขวา และที่โหนกหลังมีบาดแผลฉกรรจ์ เลือดไหลซึมตลอดเวลา จึงรายงานให้ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 2 และผู้ว่าราชการจังหวัดทราบ และร่วมกันวางแผนให้การช่วยเหลือ
หลังทราบข้อมูลเบื้องต้น นายดุลสิทธิ์ และ นายอยู่ เสนาธรรม นายไสว วังหงษา หัวหน้าสถานีวิจัยสัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน
ขอรับการสนับสนุนไปยังกรมปศุสัตว์ ส่งนายสัตวแพทย์เฉลิมพงษ์ จิระพฤฒิศิริ นายสัตวแพทย์เพิ่มศิลป์ บุญน้อม จากสำนักงานเลขานุการกรมปศุสัตว์ และนายสัตวแพทย์เจษฎา แถวเนิน จากสวนสัตว์เปิดเขาเขียว จ.ชลบุรี พร้อมอุปกรณ์การแพทย์รักษาสัตว์ และอุปกรณ์เคลื่อนย้ายเพื่อนำไปรักษาที่สวนสัตว์เปิดเขาเขียว
เจอกระทิงบาดเจ็บที่เขาอ่างฤๅไน
ผู้สื่อข่าวรายงานการให้ความช่วยเหลือเป็นไปด้วยความยากลำบาก
เพราะบริเวณที่วัวกระทิงยืนอยู่มีต้นหญ้าสูงขึ้นรกปกคลุม อีกทั้งยังเสี่ยงอันตราย เพราะวัวกระทิงแม้จะดูท่าทางอิดโรยผอมโซ แต่เป็นสัตว์ที่ดุร้าย อีกทั้งยังสามารถลุกยืนเดินไปมาตลอดเวลา ซึ่งอาจจะวิ่งเข้าชาร์จทำร้ายเจ้าหน้าที่ เหมือนกับที่เคยทำร้ายชาวบ้านที่จังหวัดสระแก้วมาเมื่อไม่นานมานี้ ทุกคนจึงต้องทำงานอย่างระมัดระวัง ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ต้องกันไม่ให้ชาวบ้านเข้าไปมุงดู เพราะอาจจะได้รับอันตรายและกีดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่
การวางแผนทำงานเริ่มที่การใช้ปืนอัดลมวางยาซึม (Xylazine Hcl) 350 mg โดยนายสัตวแพทย์เพิ่มศิลป์ เป็นผู้เหนี่ยวไกจากระยะห่างไม่ถึง 10 เมตร
ลูกดอกเล็งถูกที่สะโพกขวาพอดี จากนั้นทิ้งระยะเวลาราว 20 นาที วัวกระทิงก็สิ้นฤทธิ์ ล้มตัวลงนอนในป่าเพราะฤทธิ์ยาซึม เจ้าหน้าที่จึงรีบเข้าไปสำรวจและให้ความช่วยเหลือ พบร่างกายผอมนอกจากนี้ยังมีแผลฉกรรจ์ที่โหนกหลัง ซึ่งมีเลือดไหลซึมตลอดเวลา สังเกตบาดแผลเริ่มเน่าเพราะมีหนอนไต่ จึงใช้อุปกรณ์เขี่ยทำบาดแผลและใส่ยาฆ่าเชื้อโรคให้ นอกจากนี้ที่เหนือกลีบเท้าขวาหลัง ยังมีเชือกไนลอน ซึ่งเป็นเชือกที่บ่วงพรานวางกับดักเอาไว้
จากการที่วัวกระทิงดึงอย่างแรงทำให้เชือกไนลอน เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ซ.ม. ยาวราว 2 เมตร
ขาดติดขามาและได้รัดจนเป็นแผลลึกรอบขามีแมลงวันไต่ตอม เริ่มส่งกลิ่นเน่าเช่นกัน สัตวแพทย์จึงรีบใช้มีดตัดเอาเชือกออกและใส่ยาฆ่าเชื้อให้ทันที และจากการตรวจสอบตามตัวของวัวกระทิง ยังพบว่าที่ใต้ตาขวา มีรอยแผลเป็นคล้ายถูกกระสุนปืน 2 รู ที่สะโพกขวา มีรูคล้ายถูกกระสุนลักษณะเดียวกันอีก 7 รู กลายเป็นแผลเป็นแล้ว
หลังจากให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้พยายามใช้เชือกพยุงให้วัวกระทิงยืนโดยมีเชือกผูกร้อยเขา
เพื่อดึงออกจากป่าแล้วน้ำขึ้นรถบรรทุกลูกกรง แต่เป็นไปด้วยความยากลำบากเพราะวัวกระทิงมีขนาดใหญ่ จึงเปลี่ยนวิธีโดยใช้ตาข่ายขนาดใหญ่ มาวางกับพื้นแล้วช่วยกันพยุงวัวให้ลุกขึ้น แล้วใช้รถยกของศูนย์สัตว์เปิดเขาเขียวยกวัวกระทิงเข้ากรงที่เตรียมมา ก่อนที่จะยกขึ้นรถได้สำเร็จโดยใช้เวลา 2 ชั่วโมง ท่ามกลางความดีใจของเจ้าหน้าที่และชาวบ้านที่ไปมุงดูกว่า 100 คน
นายอยู่ เสนาธรรม หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤๅไน
เปิดเผยว่าร่องรอยที่เห็นถูกยิงหลายบาดแผล ทั้งเก่าและใหม่ ที่ชัดเจนคือด้านหลังมีเลือดไหล ที่น่าห่วงคือข้อเท้าขวา ที่ถูกบ่วงพราน เรื่องพรานวันนี้ยังมีอยู่ ปีนี้มี 2 ตัว ตัวแรกที่ซับวัวแดงขาขาดตายไปแล้วเมื่อเดือนก.ย.ที่ผ่านมา ตัวนี้ตัวที่ 2 เจอบ่วงพราน ดูร่องรอยจากอาวุธปืน น่าจะเป็นลูกซอง ซึ่งจากบาดแผลทำให้ต้องให้สวนสัตว์เปิดเขาเขียวรับตัวไปทำการรักษา หลังจากที่หายดีแล้วก็จะนำกลับมาปล่อยที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์อ่างฤๅไนเหมือนเดิม