ต่อมาเวลา 13.00 น. พ.ต.ท.นิมิตร พรหมมา พนักงานสอบสวน 7 กรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมเจ้าหน้าที่
ได้เดินทางไปที่วัดโสดาประดิษฐาราม หมู่ 3 ต.เขาแร้งอ.เมืองราชบุรี เข้าพบกับพระครูธรรมธรสมบูรณ์ เจ้าอาวาสเพื่อขอบันทึกปากคำกรณีการจะสร้างอุโบสถสองกษัตริย์ โดยพระครูธรรมธรสมบูรณ์สรุปเรื่องราวว่า อุโบสถที่จะสร้างผ่านมาทางพระวิสุทธาธิบดี เจ้าอาวาสวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร เมื่อช่วงก่อนเข้าพรรษาที่ผ่านมา พระวิสุทธาธิบดีบอกว่า จะสร้างอุโบสถให้วัด ใช้ที่ดินบริเวณที่ตั้งโรงเรียนวัดโสดาประดิษฐาราม ส่วนโรงเรียนจะย้ายไปสร้างใหม่ด้านหลัง กรมศิลปากรเข้ามาตรวจสถานที่แล้ว แต่ยังไม่มีการดำเนินการ และไม่มีเอกสารยืนยัน การจะสร้างอุโบสถครั้งนี้ เนื่องจากพระวิสุทธาธิบดีบ้านเกิดอยู่ที่นี่ ที่วัดแห่งนี้ พระวิสุทธาธิบดีก็ได้มาสร้างอาคารไว้ให้บางส่วน แต่รายละเอียดเกี่ยวกับพระสมเด็จเหนือหัวนั้นไม่ทราบ
ที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)
นางรัศมี วิศทเวทย์ เลขาธิการ สคบ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการติดตามสอดส่องและวินิจฉัย โดยเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องกับการโฆษณาและรับจองพระสมเด็จเหนือหัวมาชี้แจง เพื่อสอบถามให้ชัดเจนถึงผู้ดำเนินการสร้างพระสมเด็จเหนือหัว ประกอบด้วยตัวแทนจากหนังสือพิมพ์ 4 ฉบับ และเอเจนซี่โฆษณา ได้แก่ บริษัท ซูน่า จำกัด และบริษัท โฟร์อาร์ต (1994) จำกัด บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด ธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารกรุงไทย ใช้เวลาประชุมนานร่วม 3 ชั่วโมง
หลังจากนั้น นางรัศมีเปิดเผยว่า การประชุมครั้งนี้ ได้ออกหนังสือเรียกนายสิทธิกร บุญฉิม หรือเสี่ยอู๊ด
กรรมการ ผู้มีอำนาจลงนามในบริษัท ไดมอนด์ ฮิลล์ จำกัด มาด้วยแต่นายสิทธิกรไม่ได้มา ซึ่งนอกจากการออกหนังสือเรียกแล้ว สคบ.ยังส่งจดหมายลงทะเบียน พร้อมกับโทรศัพท์ไปทุกหมายเลขที่จะติดต่อบริษัท ไดมอนด์ ฮิลล์ จำกัด ปรากฏว่า ไม่มีผู้รับสาย ขณะเดียวกันได้นมัสการ กราบเรียนเชิญพระวิสุทธาธิบดี เจ้าอาวาสวัดสุทัศน์ และคณะกรรมการของมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ด้วย แต่พระวิสุทธาธิบดีไม่สะดวก สคบ.จึงจะไปขอนมัสการภายหลัง ส่วนการเชิญสื่อมวลชนที่ลงโฆษณาพระสมเด็จเหนือหัวมาสอบถาม พบได้ทำสัญญา ลงโฆษณาโดยตรงกับบริษัท ไดมอนด์ ฮิลล์ จำกัด และผ่าน เอเยนซี่ที่มีเนื้อที่โฆษณา แต่ก็เป็นการว่าจ้างโดยบริษัท ไดมอนด์ ฮิลล์ จำกัด และนายสิทธิกรทั้งสิ้นเช่นเดียวกับ ป้ายคัตเอาต์โฆษณาขนาดใหญ่ 8 ป้าย
เลขาธิการ สคบ.กล่าวอีกว่า เพราะฉะนั้นการดำเนินการลงโฆษณาพระสมเด็จเหนือหัวทั้งหมด บริษัท ไดมอนด์ ฮิลล์ จำกัด เป็นผู้ติดต่อเอง ไม่ได้มีการติดต่อขอลงโฆษณา
โดยมูลนิธิอัฏฐมราชานุสรณ์ หรือวัดสุทัศน์ เลย ส่วนสถานที่รับสั่งจองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเคาน์เตอร์ธนาคาร ร้านทอง ก็เป็นการติดต่อว่าจ้างจากบริษัท ไดมอนด์ ฮิลล์ จำกัด และรายได้ที่เข้ามาส่วนใหญ่ก็โอนไปให้บริษัท ไดมอนด์ ฮิลล์ จำกัด ขอฝากบอกไปถึงสื่อหนังสือพิมพ์ที่ลงโฆษณาพระสมเด็จเหนือหัว และผู้ที่ติดป้ายโฆษณาอยู่ ให้ยุติได้แล้ว ไม่เช่นนั้นจะมีความผิดไปด้วย ในฐานะเป็น เจ้าของสื่อ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มีโทษ ปรับไม่เกิน 25,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือทั้งจำทั้งปรับ เหมือนเป็นการช่วยผู้ที่ตั้งใจหลอกลวงประชาชน
“พวกที่ติดป้ายโฆษณาขอให้ปลดลง และทำลายซะ เพราะพฤติกรรมที่แอบอ้างเบื้องสูง จาบจ้วงโอหังมาก อาศัย ช่วงจังหวะที่ประชาชนคนไทยทุกคนกำลังถวายความจงรัก ภักดีอย่างสูงสุดต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาส ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา มาทำธุรกิจเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ถือว่าเลวร้ายที่สุด ทำให้คนไปเข้าใจว่าเป็นเหรียญเกี่ยวกับพระเจ้าอยู่หัว ความผิดของเสี่ยอู๊ดจึงไม่ใช่ผิดที่โฆษณาเกินจริง หรือเป็นเท็จเท่านั้น แต่ยังบังอาจดึงสถาบัน เบื้องสูงมาเป็นเครื่องมือทางการค้าด้วย” นางรัศมีกล่าว
ด้านนายศานิต ร่างน้อย อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า
สั่งให้เจ้าหน้าที่กรมสรรพากรติดตามเรื่องการสร้างพระ สมเด็จเหนือหัวอย่างใกล้ชิด เพื่อตรวจหาผู้สร้างพระเครื่องตัวจริงว่า เป็นใครกันแน่ ขณะนี้มีข้อมูลของบุคคลที่เกี่ยวข้อง กับการสร้างพระเครื่องดังกล่าวครบถ้วนแล้ว กำลังอยู่ระหว่างประเมินรายได้เพื่อเรียกเก็บภาษีจากการจำหน่ายพระเครื่องต่อไป ส่วนกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ให้กรมสรรพากรตรวจสอบภาษีย้อนหลังของผู้สร้างพระสมเด็จเหนือหัวนั้น ล่าสุดกรมสรรพากรได้ออกหมายเรียกแล้ว เนื่องจากพบมีการเสียภาษีไม่ครบถ้วน จึงเรียกเก็บภาษีย้อนหลังประมาณ 10 ล้านบาท แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ เพราะมีกฎหมายบังคับเป็นข้อห้าม ที่ตนให้สัมภาษณ์ เนื่องจากเห็นว่าการโหมโฆษณาของผู้สร้างพระเครื่อง รวมถึงองค์จตุคามรามเทพในช่วงที่ผ่านมา มีลักษณะของ การเก็งกำไร เช่น ซื้อไป 100-200 บาท แล้วขายต่อในราคา 1,000-2,000 บาท จำเป็นต้องออกมาปราบเพื่อป้องกัน การเก็งกำไรในลักษณะนี้