ความบาดหมางคลางแคลงใจในอดีตระหว่างสองโจ๋ขาใหญ่เมืองพัทยาน่าจะจบลงด้วยดีหากว่าไม่มีคนใกล้ตัวคอยยุยงและคอยเสี้ยมให้เกิดความเข้าใจผิด
จนนำมาสู่การเปิดศึกดวลปืนสนั่นเมืองพัทยา ไม่ต่างอะไรกับ "บิลลี่เดอะคิด" กับพวก ในภาพยนตร์คาวบอยย้อนยุคอันโด่งดัง!
กลางดึก4 พฤศจิกายน 2550 นักท่องราตรีทั้งไทยและเทศต่างดื่มกินและเต้นรำกันอย่างสนุกสนานอยู่ภายใน "เดอะ คอทเทจ"ผับชื่อดังริมถนนพัทยาสาย 3 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เสียงดนตรีอันแสนเร้าใจและเต็มไปด้วยความอึกทึกครึกโครมยิ่งเพิ่มความสนุกขึ้นเป็นเท่าตัว ชายวัยรุ่นลูกค้าขาประจำคนหนึ่งผละออกจากร้านก่อนเวลาอันควร โดยไม่เฉลียวใจเลยว่ามีใครอีกคนเดินตามมาห่างๆ
ชายวัยรุ่นคนแรกตรงไปขึ้นรถยนต์ขับออกไปได้ไม่ไกลเมื่อเหลือบมองกระจกหลังเขาก็พบเข้ากับสิ่งผิดปกติรถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีเทาดำ 4 ประตู ทะเบียน ชบ 137 กรุงเทพมหานคร ขับตามมาติดๆ ชายคนแรกจำได้และรู้จักเจ้าของรถคันนี้ดี เนื่องด้วยเป็นเพื่อนที่เคยดื่มกินกันอยู่ในร้าน เดอะ คอทเทจแม้ว่าปัจจุบันทั้งเขาและเจ้าของรถจะไม่ค่อยกินแหนงแคลงใจกันเหมือนก่อนก็ตามที
ด้วยหัวใจของคนหนุ่ม ประกอบกับเรื่องราวเมื่อหนหลังทำให้ชายวัยรุ่นคนแรกตัดสินใจเลี้ยวรถกลับเข้าไปจอดที่ลานจอดรถสถานบันเทิงที่เพิ่งขับออกมาได้ไม่ไกลนัก โดยมีรถกระบะโตโยต้า วีโก้ ตามมาติดๆ ทั้งสองจอดรถห่างกันพอสมควร ก่อนที่ฝ่ายแรกจะตรงเข้าไปหาและเกิดมีปากเสียงกันอย่างรุนแรง
...จะเป็นเวลานานเท่าไรมาแล้วไม่ทราบได้ เมื่อครั้งที่ทั้งสองยังรู้จักมักคุ้นและไม่มีเรื่องบาดหมางกันเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ คืนวันหนึ่งเจ้าของรถกระบะโตโยต้า วีโก้ หยอกล้อกับเพื่อนของชายวัยรุ่นคนแรกจนเกินขอบเขต ด้วยการใช้มือตบศีรษะหลายต่อหลายครั้งจนเกิดความไม่พอใจขึ้น เรื่องเล็กน้อยแค่นี้น่าจะจบลงไปตั้งนานแล้ว หากว่าไม่มีคนใกล้ตัวของทั้งสองคอยเสี้ยมให้เกิดความระแวงต่อกัน
คนแวดล้อมของทั้งสองต่างพยายามทำหน้าที่ของบ่างช่างยุได้อย่างมีประสิทธิภาพจนทำให้เจ้าของรถกระบะโตโยต้า วีโก้ เริ่มคล้อยตามและหลงเชื่อว่าอีกฝ่ายจ้องจะเอาคืนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่กระนั้นทั้งสองฝ่ายก็รอดพ้นการเผชิญหน้ากันมาได้ตลอด ยกเว้นครั้งล่าสุด !
...การมีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งที่ลานจอดรถเลยเถิดไปถึงขั้นการท้าดวลปืน โดยชายวัยรุ่นคนแรกชักปืนกล็อก 9 มม.ออกมากระหน่ำยิงใส่ฝ่ายตรงข้ามที่พยายามหลบเข้าไปอยู่ในรถกระบะของตัวเอง กระสุนเจาะเข้ากระจกหลัง 1 นัด และกระจกประตูข้างด้านหลังอีก 2 นัด ก่อนจะแฉลบโดนแขนขวาของอีกฝ่ายกระสุนฝังใน นอกจากนี้ ยังถากท้ายทอยหญิงสาวที่นั่งอยู่ในรถโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีกราย
เมื่อเสียงปืนชุดแรกหมดลงเปิดโอกาสให้ชายเจ้าของรถโตโยต้าวีโก้ ตั้งตัวติด เขากระชากปืน 9 มม.ออกมาตามยิงอีกฝ่ายที่กำลังกระเสือกกระสนหนีตาย เพราะกระสุนนัดสุดท้ายหมดไปจากรังเพลิงแล้ว แต่เขาก็หนีไปได้ไม่ไกลเมื่อถูกยิงเข้าใต้กกหูซ้ายทะลุแก้มขวา นอนตายจมกองเลือดอยู่ตรง ณ ที่นั้นเอง
เสียงปืนที่แผดคำรามดังกึกก้องเล็ดลอดเข้าไปให้นักท่องราตรีที่อยู่ในเดอะคอทเทจ ได้รับรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไหนที่กำลังทยอยเดินออกจากร้านได้พบเห็นภาพการดวลปืนที่ไม่ผิดอะไรกับภาพยนตร์คาวบอยตะวันตกยังไงยังงั้น ต่างหวีดร้องด้วยความตกใจ ก่อนที่ความสับสนอลหม่านจะเกิดกับทุกชีวิตในร้าน ที่พยายามหลบวิถีกระสุน ตามมาด้วยเสียงไซเรนตำรวจที่รุดมายังจุดเกิดเหตุพ.ต.อ.นพดลวงษ์น้อม ผกก.สภ.เมืองพัทยา พ.ต.ท.ชนพัฒน์ นวลักษณ์ รอง ผกก.สส. พ.ต.ท.สันติชัยนิรามัย สวป. พ.ต.ต.ไชยกฤษณ์ ทองอินทร์ สว.สส. พ.ต.ต.สันติชูเชิด สว.สป. พร้อมกำลังชุดสืบสวนเดินทางถึงที่เกิดเหตุและตรงเข้าไปตรวจสอบ ทำให้ทราบชื่อเหยื่อกระสุนปืนที่ด่าวดิ้น "ภูมิมินทร์ มีศิริ" วัย18 ปี อยู่บ้านเลขที่ 57/49 หมู่ 5 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
ในที่เกิดเหตุตำรวจพบปลอกกระสุนปืนขนาด9 มม.ตกอยู่เกลื่อนกลาดมากถึง 11 ปลอก ปืนกล็อกของผู้ตายรังเพลิงเปิดอ้าให้เห็นแต่ความว่างเปล่าตกอยู่ข้างกาย ระหว่างการสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ รพ.กรุงเทพพัทยา ก็โทรศัพท์แจ้งตำรวจว่ามีวัยรุ่น 2 คน ถูกยิงได้รับบาดเจ็บมารักษาตัว ที่สำคัญคือรถกระบะโตโยต้า วีโก้ ก็มีร่องรอยกระสุนปืนปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด !
กำลังเจ้าหน้าที่ชุดหนึ่งตรงไปตรวจสอบที่รพ.กรุงเทพพัทยาทันที
ขณะที่อีกส่วนกำลังชันสูตรพลิกศพร่วมกับแพทย์อยู่นั้น ภาพอันชวนสะเทือนใจผู้พบเห็นก็บังเกิดขึ้น เมื่อสองสามีภรรยา "ไพโรจน์-ขวัญทอง มีศิริ" พ่อและแม่ของภูมิมินทร์ เดินทางมาเห็นศพลูกชายถึงกับหลั่งน้ำตาแห่งความเศร้าโศกเสียใจ ปากก็พร่ำเรียกลูกชายให้ฟื้นคืนสติขึ้นมา แต่อนิจจาดูเหมือนสิ่งที่เขาและเธอร้องขอจะเกินกำลังความสามารถ แม้แต่พระผู้เป็นเจ้าก็ประทานให้ไม่ได้ !
เมื่อกำลังเจ้าหน้าที่ไปถึงรพ.กรุงเทพพัทยา ตรวจสอบผู้บาดเจ็บทราบชื่อ "อิทธิพันธ์ ศึกเจริญ" วัย23 ปี ถูกยิงเข้าที่แขนขวากระสุนฝังใน ส่วนอีกรายเป็นแฟนสาววัยเดียวกันกระสุนถากท้ายทอยไปอย่างหวุดหวิด แม้ครั้งแรก อิทธิพันธ์ จะให้การปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เนื่องจากเป็นเรื่องโกหกมันจึงไม่แนบเนียนและเต็มไปด้วยพิรุธมากมาย ไม่สอดคล้องกับคำให้การของพยานในเหตุการณ์ ตลอดจนรอยกระสุนที่ปรากฏบนกระจกรถของเขาไม่นานจึงเปิดปากรับสารภาพ เหมือนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นข้างต้น
หากคนเราหนักแน่นเสียแล้วแม้บ่างจะช่างยุอย่างไรก็คงไม่เป็นผล และหาก อิทธิพันธ์ ใจเย็นลงสักนิด เขาก็คงไม่ต้องตกเป็นผู้ต้องหาฆ่าคนตาย เช่นเดียวกับ ภูมิมินทร์ ที่ต้องจบชีวิตลงก่อนวัยอันควร