สมภารโฉ่ ใช้รถปิกอัพถึง 6 คัน ขนสมบัติ

สมภารโฉ่ ใช้รถปิกอัพถึง 6 คัน ขนสมบัติ

ตามที่ได้มีเรื่องราวฉาวโฉ่วงการผ้าเหลือง กรณีมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่พ่อค้าประชาชนใน จ.สิงห์บุรี ว่ามีซีดีลามกซึ่งเป็นภาพของชายคนหนึ่ง มีรูปร่างหน้าตาคล้ายพระครูโสภณธรรมจักร อายุ 48 ปี เจ้าอาวาสวัด โพธิ์แก้วนพคุณ เขตเทศบาลเมืองสิงห์บุรี พาหญิงสาวไปเสพเมถุนในโรงแรมแห่งหนึ่ง และมีการนำไปเปิดฉายให้ เจ้าคณะอำเภอเมืองสิงห์บุรี ดูเพื่อยืนยันพฤติกรรมฉาว หลังเรื่องแดงขึ้น พระครูโสภณฯได้หายตัวออกจากวัดไปอย่างลึกลับยังตามหาตัวไม่พบนั้น

ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อเวลา 14.00น. วันที่ 24 เม.ย. นายเดช กองแก้ว ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสิงห์บุรี พร้อมด้วย พ.ต.อ.สำเริง งามรัตน์ ผกก.สภ.อ.เมืองสิงห์บุรี เดินทางไปที่วัดโพธิ์แก้วนพคุณ เข้าพบพระดำรงค์ ฐิตวิริโย เลขาเจ้าคณะตำบลจักรสีห์ และได้รับมอบหมายจากเจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรีให้ดูแลวัดโพธิ์แก้วนพคุณ เพื่อสอบถามข้อเท็จจริงโดยมีประชาชนที่ทราบข่าวประมาณ 20 คน เดินทางมารับฟังเรื่องราวด้วยความสนใจ ชาวบ้านส่วนใหญ่ได้ร้องขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและสำนักงานพระพุทธศาสนาเข้าตรวจ สอบทรัพย์สินที่พระครูโสภณธรรมจักร หรือนายสมภาส พูลศิลป์ ได้ให้คนมาแอบขนไปเมื่อกลางดึกคืนวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา ว่าเป็นทรัพย์สินของวัดหรือทรัพย์สินส่วนตัวกันแน่

นอกจากนั้นชาวบ้านบางคนยังได้ขอดูบัญชีรายรับ-รายจ่ายของวัดด้วย เนื่องจากชาวบ้านที่เช่าที่ดินวัดสร้างบ้านพักอาศัย เกรงว่าเงินที่จ่ายค่าเช่าไป ทางพระครูโสภณฯ อาจนำไปใช้จ่ายส่วนตัว และไม่ได้นำเข้าบัญชีของวัด เนื่องจากสิ่งของที่มีคนมาขนไปมีมากถึง 6 คันรถปิกอัพ ทั้งที่ความเป็นจริงพระครูโสภณฯมาเป็นเจ้าอาวาสวัดโพธิ์แก้วนพคุณได้ไม่นาน ไม่น่าจะมีทรัพย์สินส่วนตัวมากมายขนาดนั้น เบื้องต้นทางไวยาวัจกรและพระลูกวัดได้ตรวจ สอบทรัพย์สินของวัดตามที่ชาวบ้านร้องขอ แต่ไม่สามารถตรวจสอบได้ ชาวบ้านจึงเรียกร้องให้มีการตรวจสอบให้ชัดเจนอีกครั้ง

นายเดช กองแก้ว กล่าวภายหลังรับทราบข้อมูลว่า สำหรับพฤติกรรมของพระครูโสภณฯนั้นมีประชาชนแจ้งเบาะแสให้ทราบมานานแล้ว แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะไม่มีหลักฐาน แต่พอมีหลักฐานทางพระครูโสภณก็ชิงสึกไปก่อนจึงไม่สามารถทำอะไรได้ เหลือแต่ว่าทรัพย์สินที่พระครูโสภณฯขนไปนั้นมีการเอาของวัดไปด้วยหรือไม่ หากเอาไปก็ต้องถูกดำเนินคดีข้อหายักยอกทรัพย์ แต่ทั้งนี้ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาจะได้ประสานไปยังจังหวัดต่างๆช่วยตรวจสอบ หากพบพระครูโสภณฯยังไม่ สึกและยังแต่งกายนุ่งห่มผ้าเหลืองเหมือนพระสงฆ์ก็ให้แจ้งตำรวจจับกุมทันที

ขณะที่พระดำรงค์ ฐิตวิริโย เลขาเจ้าคณะตำบลจักรสีห์ กล่าวว่า ตั้งแต่มีเรื่องฉาวโฉ่ขึ้นมาพยายามติดต่อกับพระครูโสภณฯมาตลอดแต่ติดต่อไม่ได้ จนถึงขณะนี้ยังไม่ทราบว่าพระครูโสภณอยู่ที่ใด และสึกจากความเป็นพระแล้วหรือยัง หากพระครูโสภณบริสุทธิ์ใจก็น่าจะออกมาปกป้องชื่อเสียงของตนเอง

ส่วนนายปรีชา กันธิยะ อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า รู้สึกสะเทือนใจและเป็นห่วงพระพุทธศาสนามาก เพราะภาพอย่างนี้ปรากฏออกไปจะทำให้ชาวต่างประเทศและศาสนาอื่นดูถูกได้ และอาจจะมองพระอื่นผิดๆไปด้วย โดยเฉพาะประเทศไทยได้รับฉันทมติให้เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก น่าจะมีของดีไปอวดให้เห็นความดี แต่ข่าวออกมาเป็นทางตรงกันข้าม และไม่น่าจะเกิดขึ้น

ถ้าเป็นไปตามข่าวถือเป็นภาพที่เห็นแย่มาก นอกจากจับสึกแล้วต้องดำเนินคดีอาญาเพื่อให้หลาบจำ และถ้าติดคุกได้อยากให้ติดคุกตลอดชีวิต เพราะเหมือนเป็นเจ้าพนักงานทำผิดเสียเอง เป็นพระต้องรู้ว่าทำอะไรอยู่ ความผิดวินัยแบบนี้ต้องเอาสามคูณต้องติดคุกด้วย และประจานให้ถึงญาติพี่น้อง ผมเกลียดที่สุดคนที่เอาศาสนามาเล่นยังไม่ชอบ แต่นี่เป็นพระไม่น่าจะเกิดขึ้นในเมืองไทย และขอให้เป็นเหตุการณ์สุดท้ายที่จะเกิดขึ้น อธิบดีกรมการศาสนากล่าว

นายปรีชากล่าวด้วยว่า อยากขอร้องสื่อมวลชนที่นำเสนอภาพข่าวนี้เพื่อเปิดโปงความไม่ดีและเตือนสังคม แต่ทำให้ประเทศเสียหาย ไม่ควรนำขึ้นหน้าหนึ่งเพราะสถาบันศาสนาเป็นสถาบันหลักของชาติถ้าซวนเซประชาชนจะไม่เชื่อถือ และถ้าเกิดวิกฤติก็ไม่รู้จะพึ่งใคร อย่างไร ก็ตาม สำหรับข้อเสนอเพิ่มโทษอาญากับพระสงฆ์ที่ทำผิดวินัยร้ายแรงนั้น จะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) เพื่อให้ออกเป็นมติมหาเถรสมาคมว่า เมื่อจับได้ ขณะเป็นสมณเพศต้องส่งให้ตำรวจดำเนินคดีอาญาและให้ฝ่ายกฎหมายของตำรวจออกกฎหมายให้มีความผิด เพราะพระสงฆ์คือบุคคลสาธารณะ และเป็นที่เคารพของพุทธศาสนิกชน หากทำผิดร้ายแรงก็ถือว่าทำให้ประเทศ ชาติเสียหาย พระพุทธศาสนาเสียหาย และคนที่นับถือก็เสียหายด้วย

นายกนก แสนประเสริฐ ผอ.ส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า รับทราบเรื่องทางสื่อมวลชนแล้วรู้สึกตกใจ พระผู้ใหญ่ซึ่งมีตำแหน่งและพรรษาสูงไม่น่าจะมีพฤติกรรมต่ำช้าเช่นนี้ เมื่อมีหลักฐานชัดเจนเข้าข่ายปาราชิก ต้องมีการลงโทษตามวินัย เป็นเรื่องของเจ้าคณะผู้ปกครองจะพิจารณาลงโทษ ขณะนี้ได้ประสานไปยังเจ้าคณะผู้ปกครองของพระรูปดังกล่าวแล้ว เบื้องต้นทราบว่า พระครูโสภณฯได้ลาสิกขาหลบหนีไปแล้ว ตาม พ.ร.บ. คณะสงฆ์เมื่อมีการลาสิกขาจะไปลงโทษไม่ได้ ต้องปล่อยให้เป็นกฎหมายทางโลก ขึ้นอยู่กับว่ามีสีกาหรือชาวบ้านแจ้งความดำเนินคดีหรือไม่ หากมีการแจ้งความ เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับและดำเนินคดีได้เลย

ผอ.ส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวอีกว่า เหตุการณ์พระภิกษุ เสพเมถุนเป็นเรื่องรายบุคคล มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล แต่เป็นพระส่วนน้อย และไม่เป็นที่รับรู้ในวงกว้าง ต่างจากในปัจจุบันมีวิทยาการทันสมัย เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นถูกเผยแพร่ทั้งทางหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ กลายเป็นเรื่องใหญ่สะเทือนใจชาวพุทธทั้งประเทศ เรื่องดังกล่าวเป็นผลพวงมาจากจิตใจคนที่ยังไม่ละกิเลส เสพเมถุน หรืออาจมีผลจากการรับสื่อ ดูเว็บโป๊ ทั้งที่ทางคณะผู้ปกครองสงฆ์ได้มีหนังสือแจ้งแก่เจ้าอาวาสทุกวัดให้สอดส่องดูแลพระทุกรูปให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในพระวินัย แม้จะเป็น เพียงพฤติกรรมส่วนบุคคล แต่ทำลายภาพรวมของพระพุทธศาสนา เรื่องนี้เป็นเหมือนปลาตายตัวเดียวเหม็นทั้งข้อง

ด้านพระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรสมาคม (มส.) เผยว่า ถ้าพระสงฆ์กระทำในลักษณะเสพเมถุน ยุ่งกับสีกา ถือว่าเป็นการกระทำที่อาบัติ หมดความเป็นพระทันที โดยหลังจากนี้จะนำเรื่องนี้ไปหารือนอกรอบกับเจ้าคณะผู้ปกครองชั้นผู้ใหญ่ ในวันที่ 28 เม.ย. ซึ่งจะมีการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) เพื่อหามาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้นมาอีก เพราะที่ผ่านมา หากพระสงฆ์เสพเมถุน ยุ่งกับสีกา ทาง มส. ยังไม่เคยมีมาตรการใดในการลงโทษพระสงฆ์ มีเพียงให้สึก และให้ไปอยู่จังหวัดอื่นเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันเดียวกันแผ่นซีดีลามกของพระครูโสภณ มีผู้หัวใสนำไปก๊อบปี้วางจำหน่ายใต้ดินเกลื่อนทั่วตัวเมืองสิงห์บุรี ในราคาแผ่นละ 100 บาท มีชาวบ้านสนใจหาซื้อกันให้วุ่น หลังทราบเบาะแส พ.ต.อ. สำเริง งามรักษ์ ผกก.สภ.อ.เมืองสิงห์บุรี สั่งการให้ตำรวจชุดสืบสวน วางแผนล่อซื้อจับกุม แต่ปรากฏว่าพ่อค้าแต่ละรายไหวตัวทัน พากันเก็บแผ่นซีดีลามกอื้อฉาวไม่ยอมจำหน่ายให้กับคนแปลกหน้าแต่อย่างใด

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์