สนธิ สู้คดีหมิ่นฯ มั่นใจศาลยุติธรรม - ยืนกรานไม่ไปพบ ตร.พรุ่งนี้
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 24 เมษายน 2549 20:57 น.
สนธิ ยันสู้คดีหมิ่นฯ มั่นใจศาลยุติธรรม ทนายความยืนกรานไม่ไปพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกในวันพรุ่งนี้ (25 เม.ย.) ระบุ มีการเร่งรัดคดีผิดสังเกต อีกทั้งไม่เชื่อการทำคดีของพนักงานสอบสวนที่มีเพื่อนร่วมรุ่นและญาติของ ทักษิณ เป็นผู้ควบคุมคดี ขณะที่อีกคดีข้อหาล้มล้างรัฐบาล ซึ่งจะครบกำหนดต้องไปพบตำรวจวันที่ 28 เมษายน ก็จะไม่ไปเช่นเดียวกัน ย้ำ เป็นการชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญไม่มีความผิด
วันนี้ (24 เม.ย.) เมื่อเวลาประมาณ 18.00 น.นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ และหนึ่งในห้าแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ คนในข่าว ภาคพิเศษทางเอเอสทีวี ย้ำว่า ไม่หนักใจในคดีที่ นายสนธิ ถูกกล่าวหาว่า ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าตำรวจมีการเร่งรัดดำเนินคดีนี้อย่างผิดปกติ
นายสุวัตร ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า พนักงานสอบสวนผู้ควบคุมคดีมีความเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมืองโดยตรง โดยเฉพาะ พล.ต.ท.ชลอ ชูวงศ์ ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดสอบสวน ก็เป็นเพื่อนนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ส่วนผู้บังคับการกองปราบปราม ก็ยังเกี่ยวพันทางญาติกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน
ถามว่า ข้ออ้างของพนักงานสอบสวน ที่ระบุว่า ผู้ต้องหาไม่ไปรับฟังข้อกล่าวหาจึงต้องออกหมายจับ ทนายความของ นายสนธิ กล่าวว่า ตามกฎหมายแล้วตำรวจจะเป็นผู้ออกหมายจับไม่ได้ ต้องเป็นดุลยพินิจของศาล ซึ่งศาลจะพิจารณาว่าผู้ถูกกล่าวหามีพฤติกรรมหลบหนีหรือไม่ และที่ผ่านมา เห็นได้ชัดมาตลอด ว่า ไม่มี ดูได้จากการเดินทางไปเมืองจีนสองครั้งก็มีการประกาศมาตลอด
นายสุวัตร ยังอธิบายถึงคดีดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ว่า เดิมมีการดำเนินคดีตามมาตรา 112 ที่ระบุว่า ผู้ใดที่ดูหมิ่นเกลียดชัง พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท จะต้องโทษจำคุก 3-15 ปี ซึ่งปัจจุบันไม่ได้ใช้กฎหมายอาญาฉบับนี้แล้ว แต่มีการใช้กฎหมายอาญามาตรา 326 ที่ระบุความผิดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแทน
ทนายความของ นายสนธิ ยังชี้ให้เห็นถึงคำว่า ดูหมิ่นตามหลักพจนานุกรม ว่า หมายถึงการดูถูก หรือเหยียดหยาม ซึ่งในช่วงนี้ได้มีการเปิดเทปการให้สัมภาษณ์ของ นายสนธิ กรณีพูดถึงกรณีศาลปกครองมีคำพิพากษาเกี่ยวกับการออกพระราชกฤษฎีกาแปรรูป กฟผ.มิชอบ ซึ่งเป็นต้นเหตุการแจ้งความดำเนินคดีกับ นายสนธิ
ทั้งนี้ นายสุวัตร กล่าวว่า คำพูดของ นายสนธิ เป็นเพียงการตั้งคำถาม ชี้หาความรับผิดชอบจาก พ.ต.ท.ทักษิณ กรณีออกพระราชกฤษฎีกาแปรรูป กฟผ.มิชอบตามที่ศาลปกครองมีคำพิพากษา
เปรียบเทียบเหมือนกับการฟังบทความ บทกลอน ต้องพิจารณาทั้งหมด อย่าตัดตอน แล้วต้องพิจารณาตามเจตนารมณ์โดยครบถ้วนด้วย นายสุวัตร ระบุและว่า อีกทั้งที่ผ่านมามีพระบรมราโชวาทครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2548 ที่ผ่านมา ทรงประสงค์ไม่ให้นำคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปใช้บีบบังคับทางการเมือง หรือกับผู้ใด
ถามว่า มีการใช้คดีหมิ่นฯกำจัดฝ่ายตรงข้ามหรือไม่ นายสุวัตร กล่าวว่า พิจารณาแล้วถือว่าชัดเจน แต่ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เคยระบุว่า ถ้านายกฯไม่จงรักภักดีแล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดีวะ และมีการแจ้งความดำเนินคดี เมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2549 แต่ตำรวจไม่ดำเนินการ กลับส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.แทน ทั้งที่รู้ว่าเวลานี้ยังไม่มี ป.ป.ช.สิ่งที่เกิดขึ้นถือว่า 2 มาตรฐาน
ทนายความผู้นี้ ยังเปิดเผยอีกว่า เวลานี้ นายสนธิ กำลังถูกฟ้องจำนวน 12 คดี ซึ่งคดีแรกเป็นคดีดูหมิ่นฯ และพนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกไปรับฟังข้อกล่าวหาเป็นครั้งที่สองในวันพรุ่งนี้ (25 เม.ย.) พร้อมทั้งขู่ว่าถ้ายังไม่มาจะออกหมายจับ
นายสุวัฒน์ ยังเปิดเผยว่า ที่ผ่านมา ได้มีการนำพยานจำนวน 2 ปาก คือ ดร.วุฒิพงษ์ เพรียบจริยวัฒน์ และ พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ซึ่งเคยควบคุมดูแลคดีหมิ่นฯในอดีต ไปยืนยันถึงองค์ประกอบของคดีว่าไม่เข้าข่ายมาแล้ว
ส่วนคดีที่สองนั้น นายสุวัตร กล่าวว่า เป็นคดีที่ ร.ต.ฉลาด วรฉัตร ฟ้องในคดีความมั่นคงข้อหาล้มล้างรัฐบาลตามกฏหมายอาญา มาตรา 116 แต่กรณีนี้ถือว่าเป็นการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญมาตรา 44 ซึ่งเป็นการใช้สิทธิชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ และถือว่าเป็นกฎหมายแม่เหนือกว่าประมวลกฎหมายอาญาที่มีการกล่าวอ้าง พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงกรณีเดียวกันที่มีการชุมนุมของกลุ่มคาราวานคนจนที่สนับสนุนรัฐบาล แต่กลับไม่มีการดำเนินคดีแต่อย่างใด
ส่วนความพยายามในการปิดเอเอสทีวีนั้น นายสุวัตร กล่าวว่า มีความพยายามมาตลอด แม้ว่าจะได้รับคุ้มครองจากศาลปกครองอยู่ก็ตาม ล่าสุด มีความพยายามให้เจ้าหน้าที่ของกรมประชาสัมพันธ์ไปแจ้งความให้พนักงานสอบสวนไปขอหมายค้น แต่ในที่สุดศาลก็ไม่อนุมัติ
แต่ความพยายามเหล่านั้นก็ไม่ยุติ ล่าสุด ยังส่งอันธพาลมาตัดสายเคเบิล แต่ถูกขัดขวางเสียก่อน ดังนั้น ต่อไปนี้ถือว่าเรามีความชอบธรรมที่จะดำเนินการกับผู้บุกรุก เพราะไม่ใช่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือใช้อำนาจรัฐ จึงมีสิทธิที่จะป้องกันทรัพย์สินโดยชอบ นายสุวัตร ระบุและว่า ที่ผ่านมา เคยต่อสู้คดีกับเผด็จการในอดีต แต่ก็ถือว่าตรงไปตรงมา แต่สมัยนี้ต้องสู้กับรัฐตำรวจ
อย่างไรก็ดี ทนายความของ นายสนธิ ย้ำว่า ไม่หนักใจในการสู้คดี เพราะ นายสนธิ ไม่ได้ทำความผิด อีกทั้งมั่นใจศาลยุติธรรม ซึ่งความจริงจะต้องปรากฏแน่นอน