ความคืบหน้าหลังจากตำรวจกองปราบฯจับกุมตัว นายจตุรงค์ หรือตึ๋ง เบ็ญกุล และนายประกอบ หรือกอบ สีนาค
ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันสังหารนางระวีวรรณ เสตะรัต สาวใหญ่ผู้เสียหายจากการทำศัลยกรรมที่ไบโอคลินิก ของ นพ.ไพศาล หรือกวีวัธน์ เฮงสวัสดิ์ ขณะที่นายศักดา เฮงสวัสดิ์ น้องชาย นพ.ไพศาล ผู้ต้องหาร่วมอีกคนอยู่ระหว่างการหลบหนี ต่อมาจากการสอบสวนขยายผลยังทราบว่ากลุ่มผู้ต้องหารายนี้ยังก่อคดีอุกฉกรรจ์อีกหลายคดี ตั้งแต่ฆ่านายวรรธนะ หรือบุญลือ รุ่งเรือง อดีตคนขับรถ นพ.ไพศาล ในท้องที่ สน.บางซื่อ ฆ่านายชาญวิทย์ ชาญรัตนชัย เหยื่อศัลยกรรมอีกรายภายในห้องตรวจไบโอคลินิก นำศพไปทิ้งในท้องที่ สภ.ต.ย่อยหินกอง อ.หนองแค จ.สระบุรี โดยร่วมกับนายไผ่และนายเต้ย ไม่ทราบนามสกุล ล่าสุดแก๊งโหดรายนี้ยังก่อคดีปล้นทรัพย์และพยายามฆ่านายบรรพต อุดมศรี เหตุเกิดในท้องที่ สภ.อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ซึ่งพนักงานสอบสวน สภ.อ.วังน้อย ขออนุมัติหมายจับนายชัยภรณ์ หรือเต้ย กสิกร อายุ 28 ปี ต่อศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแล้ว เมื่อวันที่ 27 ส.ค.ที่ผ่านมา
เหยื่อที่ โดนปล้นชี้ตัว แก๊งสังหารในคลินิก
ต่อมาเมื่อสายวันที่ 5 ต.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
หลังจากข่าวการจับกุมตัวนายจตุรงค์และนายประกอบเผยแพร่ออกไป นายบรรพตเหยื่อรายล่าสุดได้เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.อ.วังน้อย เนื่องจากจดจำนายจตุรงค์ หรือตึ๋งได้ว่าเป็นคนที่ใช้อาวุธปืนยิงตนเองได้รับบาดเจ็บ จากนั้นนายบรรพตไปดูตัวนายจตุรงค์ หรือตึ๋ง ที่ สน.ลาดพร้าว โดยชี้ตัวยืนยันว่าเป็นคนร้ายที่ร่วมกันก่อเหตุปล้นทรัพย์และพยายามฆ่าดังกล่าว
นายบรรพตกล่าวถึงพฤติกรรมโหดเหี้ยมของกลุ่มผู้ต้องหารายนี้ว่า
ปกติรู้จักกับนายเต้ยมาก่อน เพราะตั้งโต๊ะให้บริการโทรศัพท์ทางไกลอยู่ในพื้นที่เดียวกัน และนายเต้ยยังรับงานตามเก็บหนี้เงินกู้อีกด้วย ต่อมามีปัญหากัน เพราะเพื่อนนายเต้ยมาขอยืมเงินไปแล้วไม่ยอมใช้ ขณะที่นายเต้ยก็เริ่มหันไปคบหากับนายศักดา ต่อมาในวันเกิดเหตุ วันที่ 22 ส.ค. นายเต้ยขี่รถจักรยานยนต์มาหา อาสาพาไปทวงเงินจากเพื่อนคนดังกล่าว แต่ระหว่างทางขอจอดรถลงไปปัสสาวะซึ่งตนก็ลงไปด้วย ระหว่างนั้นมีรถกระบะขับเข้ามาเทียบพร้อมกับคนร้ายจำนวนหนึ่ง ตรงเข้ามาเอาปืนจี้ตนขึ้นไปบนรถ
นายบรรพตกล่าวต่อว่า
เมื่อขึ้นรถไป นายเต้ยเป็นคนล็อกแขนไว้ ส่วนนายจตุรงค์เอาปืนเก็บเสียงจ่อหัวไว้ โดยมีนายประกอบเป็นคนขับ จากนั้นนายเต้ยกับนายจตุรงค์ ช่วยกันค้นตัวเอาเงินสดไป 8,000 บาท โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง และบังคับพาไปกดเงินจากตู้เอทีเอ็ม จนหมด ก่อนขับรถวนกลับมาที่เดิมแล้วพาลงจากรถ โดยนายจตุรงค์คอยเอาปืนจี้ด้านหลัง สักพักได้ยินเสียงนกสับไกปืนลั่นแชะแต่กระสุนด้าน ตอนนั้นตกใจมากคิดว่าต้องถูกยิงอีกแน่ จึงรีบล้มตัวลงนอนตะแคงกับพื้นเอามือบังไว้บริเวณใบหน้าและลำคอ เป็นจังหวะเดียวกับที่นายจตุรงค์ลั่นกระสุนปืนยิงซ้ำอีกนัด เสียงดังสนั่น กระสุนเฉี่ยวที่ท้ายทอย นายจตุรงค์ยังตามยิงซ้ำอีก 2 นัด ถูกบริเวณนิ้วมือและอุ้งมือ จากนั้นนายจตุรงค์ขึ้นรถกระบะไปกับนายประกอบ ส่วนนายเต้ยขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไป ส่วนตนมีพลเมืองดีช่วยเหลือพาไปส่งที่ป้อมตำรวจย่อยหน้าวัดกุฎีประสิทธิ์ นำตัวส่งโรงพยาบาล
ขณะที่การสอบสวนขยายผลเพื่อขออนุมัติหมายจับผู้ร่วมกระทำผิดเพิ่มเติม
ในคดีฆ่านายชาญวิทย์ ชาญรัตนชัย เจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมออกหมายจับนายชัยภรณ์ หรือเต้ย เพิ่มอีกคน เนื่องจากนายประกอบให้การซัดทอดว่าเป็นผู้นำอาวุธปืนและเงินค่าจ้างมาให้ นอกจากนั้นยังมีผู้ต้องสงสัยอยู่ในข่ายออกหมายจับอีก 3 คน คือนายไผ่ ไม่ทราบชื่อสกุล ผู้หญิง 1 คน และผู้ชาย 1 คนนั้น ยังอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน
ต่อมาเมื่อเวลา 18.00 น. พ.ต.ท.อำพล บุญเพิ่ม รอง ผกก.สส.สน.บางซื่อ และ พ.ต.ท.ศักดิพัฒน์ เหรียญทอง พงส.(สบ 2) พร้อมกำลัง
ได้นำตัวนายประกอบไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ หลังยอมรับว่าเป็นคนชี้เป้าให้นายจตุรงค์ หรือตึ๋ง เป็นคนสังหารนายวรรธนะ โชเฟอร์ แท็กซี่ อดีตคนขับรถของ นพ.ไพศาล โดยจุดแรกเป็นจุดที่นายประกอบยืนชี้ให้นายจตุรงค์ดูตัวเหยื่อในลานจอดรถ โดยแอบซุ่มอยู่บริเวณใต้ต้นไม้ใหญ่ ข้างแฟลต 15 บ้านพักรถไฟ ถนนนิคมรถไฟ กม.11 แขวงและเขตจตุจักร กทม. จุดที่สอง เป็นจุดที่นายศักดาขับรถเก๋งเซฟิโร่มาส่งนายประกอบกับนายตึ๋ง เพื่อลงมือสังหารเหยื่อในวันที่ 18 มี.ค.50 ที่บริเวณลานจอดรถ ประมาณ 23.00 น. โดย นายประกอบชี้เป้าและนายตึ๋งเป็นผู้ลั่นไกปืนขนาด .32 มม. เข้าใส่ร่างของนายวัฒนะประมาณ 2-3 นัด จนล้มคว่ำ และจุดที่สาม เป็นจุดที่หลังจากทั้งคู่ร่วมกันลงมือสังหารเหยื่อ แล้วทั้งนายประกอบและนายตึ๋งวิ่งไปขึ้นรถเก๋งที่นายศักดาจอดรออยู่ริมถนนนิคมรถไฟ กม.11 เพื่อหลบหนี โดยใช้เวลาทำแผนเกือบ 2 ชั่วโมง ก่อนนำตัวกลับไปควบคุมไว้ที่ สน.ลาดพร้าว ต่อไป