นับเป็นอีกหนึ่งคดีที่เปิดฉากและรูดม่านลงอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่ชั้นตำรวจ-อัยการ จนถึงศาล กับเรื่องราวฆาตกรโจ๋เมืองพัทยา ที่ก่อเหตุฆ่า 2 แหม่มสาวชาวรัสเซีย น.ส.สวิลโควา ลิยูบอฟ อายุ 25 ปี กับ น.ส.ทาซิมเฟอร์ ทาเทียนา อายุ 30 ปี 2 นักท่องเที่ยวตกเป็นเหยื่อคมกระสุนของนายอนุชิต หรือหนึ่ง ล้ำเลิศ อายุ 24 ปี เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา นายอนุชิต ลงมือสังหารเหยื่อแบบเหี้ยมเกรียม และอุกอาจอย่างยิ่ง โดยลงมือที่ชายหาดพัทยา
สาเหตุเพียงเพราะต้องการเข้าไปชิงทรัพย์เท่านั้น!!!
ตำรวจพัทยาและบช.ภาค 2 นำโดยพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.ภาค 2 ที่ลงมาดูแลคดีนี้ด้วยตัวเอง เพราะเป็นคดีที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์เมืองไทย และยังเป็นข่าวใหญ่เผยแพร่ไปทั่วโลกอีกด้วย เจ้าหน้าที่ใช้เวลาไม่กี่วันก็ตามแกะรอยคนร้ายได้ แม้ตอนแรกเกือบไขว้เขวถึงประเด็นสังหาร เพราะวางไว้หลากหลายปมด้วยกัน ก่อนที่จะมากลับตัวได้เมื่อพบหลักฐานหลายอย่างว่า นี่มิใช่คดีที่ซับซ้อนอะไรเลยเป็นเพียงการฆ่าชิงทรัพย์เท่านั้น แต่คนร้ายก็มิได้ทรัพย์สินอะไรไป เพราะเข้าใจผิดคิดว่ากระเป๋าใส่เสื้อผ้าของเหยื่อเป็นกระเป๋าใส่ทรัพย์สิน
ถือว่าเป็นการตายที่ไม่สมควรเลย
พยานหลักฐานต่างๆ ทำให้คนร้ายทำได้เพียงสารภาพอย่างหมดเปลือก ตำรวจสรุปสำนวนส่งอัยการ ก่อนสั่งฟ้องขึ้นไปให้ศาลพิจารณาคดี กระทั่งวันที่ 3 กันยายน ที่ผ่านมา หรือราวๆ 6 เดือนเศษหลังเกิดเหตุ ศาลที่พิจารณาคดีอย่างต่อเนื่องก็ได้คำพิพากษาออกมา!??
ย้อนกลับไปกลางดึกวันที่ 24 กุมภาพันธ์
เมืองพัทยาต้องตื่นตระหนกกับการพบศพน.ส.สวิลโควา ลิยูบอฟ และน.ส.ทาซิมเฟอร์ ทาเทียนา 2 นักท่องเที่ยวชาวรัสเซีย ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตคาเตียงผ่าใบชายหาดพัทยา
ทั้งคู่ถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 ม.ม. รวมกันเกือบ 10 นัด!!!
พล.ต.ท.อัศวิน ผบช.ภาค 2 และพล.ต.ต.อนันต์ เจริญศรี ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ลงมากำกับการสืบสวนสอบสวนด้วยตัวเอง เพราะเป็นคดีสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อบรรยากาศการท่องเที่ยว
ย้อนรอยคดีดัง โจ๋พัทยาปืนโหด ฆ่า2แหม่มรัสเซีย ศาลสั่งประหาร
ผลที่ตามมาในทันทีก็คือมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ทราบข่าวหมดอารมณ์เที่ยว พากันเช็กเอาต์ออกจากโรงแรมทันที เจ้าหน้าที่ตั้งชุดทำงานพิเศษถึง 12 ชุด ใช้ทีมงานจากตำรวจพัทยา ตำรวจบก.ภ.ชลบุรี และชุดสืบสวนภาค 2 เรียกว่าขนกันมาเต็มอัตราศึก นอกจากนี้ยังตั้งรางวัลนำจับให้ผู้ชี้เบาะแสถึง 5 หมื่นบาทด้วย
หลักฐานสำคัญที่ตำรวจได้เป็นภาพจากกล้องวงจรปิด
เห็นมือปืนขี่รถจักรยานยนต์มาจอดริมถนน ก่อนเดินเข้าไปที่ 2 แหม่มสาว ซึ่งเมาหลับอยู่ที่เตียงผ้าใบ ก่อนลงมือสังหารและกลับมาขึ้นรถ
ทั้งหมดใช้เวลารวมกันเพียง 9 วินาทีเท่านั้น!??
เพราะความที่ภาพวงจรปิดจับภาพได้ไม่ชัดเจนนัก ตำรวจเห็นเพียงรูปร่างและลักษณะรถจักรยานยนต์ที่คนร้ายใช้ก่อเหตุเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ตั้งปมสังหารไว้กว้างๆ โดยให้ความสนใจเรื่องแก๊งกามข้ามชาติเป็นพิเศษ!??
เนื่องจากในเมืองพัทยามีสาวรัสเซียแฝงตัวเข้ามาค้ากามจำนวนมาก
โดยมีมาเฟียในพื้นที่ติดต่อทำเรื่องให้เดินทางเข้ามาในฐานะนักท่องเที่ยว เมื่อวีซ่าครบกำหนดก็จะเดินทางกลับไป ในระยะหลังเริ่มมีปัญหาเพราะสาวที่เคยเข้ามาค้ากาม เริ่มรู้จักคนมากขึ้นจึงเดินทางเข้ามาหาลูกค้าเพื่อไม่ต้องจ่ายค่านายหน้าให้มาเฟีย จนมีการข่มขู่และทำร้ายร่างกายสาวๆ ต่างชาติบ่อยครั้ง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเช็กประวัติ 2 สาวผ่านทางสถานทูต พบว่า
มีงานการทำมั่นคงที่บ้านเกิด และเพิ่งเดินทางเข้าเมืองไทยเป็นครั้งแรก ทำให้ตัดประเด็นเรื่องค้ากามออกไป จากนั้นก็เริ่มหันไปสนใจเรื่องทะเลาะวิวาทกับแก๊งวัยรุ่นในสถานบันเทิง แต่ก็ไม่พบเบาะแสตรงนี้!?? การควานหาปมเดินไปพร้อมๆ กับการตามหาคนร้ายจากภาพวงจรปิด ตำรวจติดต่อไปยังนายสมมาตร ศรีสมาจาร อายุ 30 ปี แชมป์รายการแฟนพันธุ์แท้รถจักรยานยนต์ ปี 2002 มาช่วยดูรถคนร้าย เนื่องจากใบหน้านั้นมองเห็นไม่ชัดนัก!??
นายสมมาตร ซึ่งโชว์ความสามารถอย่างเอกอุ ในการแข่งขัน เป็นตัวช่วยสำคัญให้ตำรวจทำงานง่ายขึ้น เพราะเพียงการพินิจภาพรถจักรยานยนต์คนร้ายอยู่พักเดียว ก็สรุปได้ว่าเป็นรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว 4 จังหวะ ยี่ห้อฮอนด้า การได้ข้อมูลตรงนี้ทำให้ตำรวจทำงานง่ายขึ้น โดยเน้นหาพยานแวดล้อมในวันเกิดเหตุ ว่าใครพบชายต้องสงสัยขี่รถฮอนด้าบ้าง เมื่อรวมกับประเด็นต่างๆ ที่เริ่มตัดออกไป ทำให้ตำรวจเริ่มมุ่งไปยังกลุ่มโจรวัยรุ่น ที่อาจจะเข้ามาชิงทรัพย์เหยื่อ!?? ปูมประวัติแก๊งโจรโจ๋ในพื้นที่ถูกนำมากองรวมกัน แล้วแยกแยะออกทีละกลุ่ม โดยเน้นพวกที่นิยมใช้รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า
"นายอนุชิต หรือหนึ่ง ล้ำเลิศ" คือรายชื่อที่ผุดขึ้นมา
หลังพบว่าไอ้หมอนี่อยู่ระหว่างประกันตัวคดีชิงทรัพย์นักท่องเที่ยวสาวชาวเกาหลี ในพัทยา ไอ้หนึ่ง ยังมีลักษณะรูปพรรณใกล้เคียงกับคนร้ายในภาพวงจรปิดด้วย!??และที่ตำรวจยิ่งสนใจก็คือมีคนเห็นมันวนเวียนอยู่ใกล้ๆ จุดเกิดเหตุ เนื่องจากมีแฟนทำงานในสถานบันเทิงแห่งหนึ่งละแวกนั้น ตำรวจแบ่งทีมออกเป็นหลายชุด ออกตามล่าตัวนายอนุชิต กระทั่งได้ข้อมูลสำคัญจากแฟนสาว แฟนของไอ้หนึ่ง ระบุว่าวันเกิดเหตุแฟนแวะมาหา และบอกว่าเพิ่งฆ่าแหม่มสาว 2 คนที่ชายหาด เพราะจะเข้าไปชิงทรัพย์แล้วเหยื่อเกิดตื่นขึ้นมาเอะอะโวยวาย
หากดูตามประวัติแล้ว ถึงไอ้หมอนี่จะเคยก่อเหตุชิงทรัพย์มาหลายครั้ง
แต่ไม่เคยลงมือสังหารใครมาก่อน เป็นไปได้ว่าอาจจะตื่นตระหนกกับสิ่งที่ทำลงไป จนต้องเล่าให้แฟนสาวฟัง!?? ตำรวจตามไปล็อกตัวไอ้หนึ่งขณะกบดานอยู่บ้านญาติที่ต.เขาไม้แก้ว อ.บางละมุง จ.ชลบุรี พร้อมยึดของกลางรถจักรยานยนต์นยี่ห้อฮอนด้า ที่ใช้ก่อเหตุ และอาวุธปืนขนาด 9 ม.ม. ที่ฝากเพื่อนเอาไว้
โจ๋โหดสารภาพว่าเป็นคนสังหาร 2 แหม่มสาว
เพราะตอนแรกเห็นนอนอยู่ที่เตียงผ้าใบ และเห็นมีกระเป๋าสะพายด้วยจึงจะเข้าไปลักทรัพย์ แต่ปรากฏว่ามีคนหนึ่งตื่นขึ้นมาโวยวายจึงใช้ปืนยิงใส่ทั้ง 2 คน และกระหน่ำยิงซ้ำเมื่อเห็นว่าเหยื่อยังไม่ตาย นายอนุชิต อ้างว่าต้องฆ่าปิดปากเพราะกลัวจำหน้าได้ เนื่องจากคดีที่แล้วถูกจับเพราะเหยื่อจำหน้าได้นั่นเอง หลังจากลงมือสังหารถึงรู้ว่ากระเป๋าที่ตัวเองหมายตาไว้นั้น มีเพียงเสื้อผ้าที่ 2 แหม่มสาวนำมาเปลี่ยนลงเล่นน้ำเท่านั้น ไม่ได้มีทรัพย์สินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย!??
เกือบ 6 เดือนของการพิจารณาคดี
ในที่สุดองค์คณะศาลพัทยาก็นัดอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 กันยายน ที่ผ่านมานายตำรวจระดับสูงรวมไปถึงพ่อแม่ของ 2 แหม่มสาว และเจ้าหน้าที่กงสุลรัสเซียประจำประเทศไทย เดินทางมาร่วมฟังที่ห้องพิจารณาคดี เช่นเดียวกับฝ่ายจำเลยมีพ่อ-แม่ และญาติพี่น้อง ซึ่งทุกคนมีสีหน้าเหงาหงอยคล้ายรับรู้ชะตากรรมเป็นอย่างดี
เพียงแต่ลุ้นกันว่าบทลงโทษจะขนาดไหนเท่านั้น!??
หลังนายอนุชิต ถูกควบคุมตัวเข้าห้องพิจารณาคดี ศาลก็เริ่มอ่านคำพิพากษา โดยสรุปความเป็นมาของคดีนี้ และพฤติกรรมการลงมือของจำเลย รวมไปถึงการสืบสวนจับกุมและพยานหลักฐานต่างๆ สุดท้ายคือคำสารภาพของจำเลย
"เมื่อดูพฤติการณ์แห่งคดี ประกอบกับประวัติการกระทำความผิดซ้ำหลายครั้งหลายคราวของจำเลยแล้ว เห็นว่าเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยม ไม่เคารพยำเกรงต่อกฎหมายมุ่งแต่แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น ตลอดจนความสงบสุขของสังคมส่วนรวม และสร้างความหวาดกลัวให้แก่นักท่องเที่ยว อันเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงของประเทศชาติ
"พฤติการณ์แห่งคดีจึงร้ายแรงอย่างมากจึงไม่มีเหตุสมควรลดโทษ" แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ก็เพราะจำนนต่อพยานหลักฐาน คำรับสารภาพ จึงไม่เป็นเหตุบรรเทาโทษ
ตัดสินประหารชีวิต!!!