เมื่อวันที่ 5 ก.ค. ที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ชาตรี ไพศาลศิลป์ รอง ผบช.ปส. พล.ต.ต.ทนัย อภิชาตเสนีย์ ผบก.สกส. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส. และทหารจากกองทัพภาคที่ 3 ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมคดียาเสพติด 5 คดี สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 15 คน พร้อมของกลาง ยาบ้ารวม 3,543,800 เม็ด ยาไอซ์ 42.6 กิโลกรัม กัญชา 525 กิโลกรัม รถยนต์ 6 คัน รถจักรยานยนต์ 1 คัน และโทรศัพท์มือถือกว่า 20 เครื่อง รวมมูลค่ากว่า 842,435,000 บาท
คดีแรก เมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ บก.สกส.บช.ปส. ร่วมกับ บก.ปส.3 และบก.ขส.บช.ปส. จับกุมตัว นายพิเชษฐ์ เฮ่อทองเพชร อายุ 32 ปี ชาวจ.ตาก นายพิจิตร แซ่เฮ่อ อายุ 21 ปี ชาวจ.ตาก พร้อมของกลางยาบ้า 1,280,000 เม็ด ยาไอซ์ 2 กิโลกรัม รถกระบะยี่ห้อมาสด้า รุ่น BT50 สีเทา จำนวน 1 คัน โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง โดยจับกุมได้ที่ริมถ.พหลโยธิน (ขาเข้า) ระหว่าง กม.326-327 ต.ยางตาล อ.โกรกพระ จ.นครสวรรค์
สืบเนื่องจาก บช.ปส.ได้รับการประสานจากตำรวจภูธรภาค 5 ว่ามีกลุ่มคนไทยเชื้อสายม้งจะลักลอบลำเลียงยาเสพติดมาจากชายแดนพื้นที่ ภาค 5 จึงสกัดกั้น โดยตำรวจสภ.แม่พริก ภ.จว.ลำปาง สามารถสกัดรถนำที่ทำหน้าที่สำรวจเส้นทางไว้ได้ แต่เชื่อว่ามีรถลำเลียงยาเสพติดในกลุ่มดังกล่าวอีก จึงประสานกับตำรวจภูธรภาค 6 และแม่ทัพภาค 3 เข้าสกัดจนกระทั่งพบรถกระบะยี่ห้อมาสด้าต้องสงสัยอยู่ในพื้นที่อ.นาโบสถ์ จ.ตาก กำลังเคลื่อนขบวนลงมาในช่วงเวลากลางคืน เจ้าหน้าที่จึงติดตามก่อนเข้าแสดงตัวขอตรวจค้นพบยาบ้าและยาไอซ์จำนวนมาก ซุกซ่อนอยู่ในรถกระบะดังกล่าว จึงควบคุมตัวไว้ เบื้องต้นแจ้งข้อหาร่วมกันกับพวกที่หลบหนี มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าและยาไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมขยายผลหาผู้ร่วมขบวนการต่อไป
คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 2 ก.ค. เวลา 08.00 น. ตำรวจ บก.ปส.2 จับกุมนายคมสันต์ พลเสนา อายุ 28 ปี ชาวจ.สระบุรี นายธนภัทร สายบรรดิษฐ์ อายุ 41 ปี ชาวจ.หนองคาย นายปา ไชยวงศ์ อายุ 33 ปี ชาวลาว นางคอนทิพ อายุ 24 ปี ชาวลาว นายชัยณรัตน์ เพียผิว อายุ 35 ปี ชาวจ.ขอนแก่น น.ส.ลลิต้า ลาสุนนท์ อายุ 29 ปี ชาวจ.ขอนแก่น นายชัยวัฒน์ สอนเหง้า อายุ 37 ปี ชาวจ.มหาสารคาม และน.ส.รัตนาภรณ์ สอนเหง้า อายุ 29 ปี ชาวจ.มหาสารคาม พร้อมของกลางกัญชา 525 กิโลกรัม รถยนต์ 3 คัน โทรศัพท์มือถือ 12 เครื่อง จับกุมได้ที่ถนนภายในม.หนองแสง ม.3 ต.บ้านผือ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น ต่อเนื่องถนนอ.บ้านฝาง -อ.หนองเรือ ระหว่างม.กงกลางและบ้านหนองเม็ก ต.หนองเรือง อ.หนองเรือ จ.ของแก่น
สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่สืบทราบว่าจะมีกลุ่มนักค้ายาเสพติดเครือข่าย "ปากซัน" ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดนด้านจ.หนองคาย ไปส่งต่อให้ลูกค้าในพื้นที่ตอนในและภาคใต้โดยจะลำเลียงยาเสพติดจากอ.โพนพิสัย จ.หนองคาย โดยใช้รถยนต์ 3 คันลำเลียงยาเสพติด จึงวางกำลังเฝ้าติดตามนพบรถต้องสงสัยวิ่งผ่านถนนมิตรภาพ โดยมีรถยนต์วิ่งสลับกันนำและรั้งท้ายขบวน ส่วนรถที่ซุกซ่อนกัญชาวิ่งระหว่างกลาง
ทั้งนี้ ขบวนดังกล่าวเกิดรู้ตัวว่ากำลังถูกตำรวจติดตาม จึงขับรถด้วยความเร็วเพื่อหลบหนี โดยถอยรถชนกับรถยนต์เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมที่ติดตามไปสกัดกั้น เพื่อเปิดทางหนี แต่เจ้าหน้าที่สกัดการเอาไว้ได้ ก่อนแสดงตัวเข้าตรวจค้นพบนายคมสันต์เป็นผู้ขับขี่ มีกัญชากว่า 525 กิโลกรัม วางอยู่ภายในรถยนต์ นอกจากนี้ สกัดรถยนต์ได้อีก 2 คัน พร้อมจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 7 คนด้วย เบื้องต้นแจ้งข้อหา ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต
คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 3 ก.ค. เจ้าหน้าที่ บก.ปส.1 ร่วมกับ บก.ปส.3 บก.ปส.4 และทหารร้อย รส.ที่ 1 ร.2 พัน.รอ.และพัน.สห.ทอ. ร่วมกันจับกุมนายวันรบ หรือโก้ ศรณรงค์ อายุ 27 ปี ชาวกทม. พร้อมของกลาง ยาบ้ารวม 2.5 ล้านเม็ด ยาไอซ์ 39.6 กก. รถยนต์ 1 คัน จักรยานยนต์ 1 คัน และโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง จับกุมได้ที่บริเวณหน้าค่ายมวย ส.แจ้งอรุณ ท้ายซอยสายไหม 10 แขวงและเขตสายไหม กรุงเทพฯ ก่อนตรวจยึดยาเสพติดของกลางได้ภายในค่ายมวยดังกล่าวต่อเนื่องพงหญ้าบริเวณโดยรอบ และห้องเช่าไม่มีชื่อ ห้องที่ 2 ของบ้านเลขที่ 70/30 ซอยสายไหม 10 สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่ามีกลุ่มค้ายาเสพติดเครือข่ายนายบัณฑิต หรือแวน แจ้งอรุณ จำหน่ายยาบ้าและยาไอซ์ให้คนทั่วไปในพื้นที่สายไหมและใกล้เคียง
โดยกลุ่มผู้ค้านี้มักไปมั่วสุมกันอยู่ที่ซุ้มไก่ชนของทหารยศพ.อ.อ. บริเวณท้ายซอยสายไหม 10 ชุดสืบสวนจึงสะกดรอยเฝ้าติดตามจนพบนายบัณฑิตขับรถยนต์เข้ามาจอดในตลาดเอซีย่านสายไหม และไปพบนายจเด็ด หรือโทน คงปาน ก่อนที่ทั้งสองจะขับรถยนต์ออกมาจากตลาดแล้วเข้าไปในถนนสายไหม จนกระทั่งหลุดจากการติดตามของเจ้าหน้าที่ ต่อมาชุดสืบสวนพบรถยนต์ของนายจเด็ดจอดอยู่ในวัดเจริญธรรมาราม จึงเฝ้าติดตาม จนพบนายวันรบผู้ต้องหา ขี่รถจักรยานยนต์มาส่งนายจเด็ดที่วัด ก่อนที่นายจเด็ดได้ขับรถเข้าไปในซอยสายไหม 6 ไปจอดอยู่บริเวณกองขยะที่เป็นป่าหญ้า และขับวนไปมาก่อนหลุดการสะกดรอยของเจ้าหน้าที่ ส่วนนายวันรบขี่รถจักรยานยนต์ไปจอดอยู่ต้นซอยกับปลายซอยสลับกันไปมา
จากนั้น ชุดสืบสวนได้สะกดรอยรอบซอยสายไหม 6 และ 10 กระทั่ง มีชายหลายคนจุดไฟเผาสิ่งของลักษณะรีบร้อนต้องสงสัย จึงวางแผนเข้าตรวจค้น จากการเข้าตรวจค้นที่ตั้งซุ้มไก่ชนพบนายวันรบ จึงควบคุมตัวไว้ และนำตรวจค้นพบยาบ้าจำนวนหนึ่งอยู่ในซุ้มไก่ชน จึงปูพรมค้นตามพงหญ้าโดยรอบ พบยาบ้ากว่า 1.8 ล้านเม็ด ยาไอซ์ 39 กิโลกรัม กระจายซุกซ่อนอยู่ตามพงหญ้า ก่อนขยายผลค้นห้องเช่า ในซอยสายไหม 10 พบยาไอซ์ 6 ถุง น้ำหนัก 600 กรัม และพบยาบ้าอีก 320,000 เม็ด ที่พงหญ้าในซอยสายไหม 6 จึงตรวจยึดไว้
เบื้องต้นแจ้งข้อหา ร่วมกันกับพวกที่หลบหนีมียาเสพติดประเภท 1 (ยาบ้า, ยาไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ขยายผลติดตามจับกุมผู้ร่วมเครือข่าย โดยคาดว่ายาเสพติดที่พบเป็นของกลุ่มว้าใต้ ที่ลำเลียงมาจากแนวชายแดน จ.เชียงราย ก่อนมาเก็บไว้ในกรุงเทพฯและปริมณฑล
คดี 4 วันที่ 30 มิ.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปส.4 บช.ปส. และกอง 12 ศรภ.กองบัญชาการกองทัพไทย ร่วมกันจับกุมน.ส.จำปา หรือจ๋า สุดแล้ว อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 15 ม.3 ต.ขามป้อม อ.เปือยน้อย จ.ขอนแก่น พร้อมของกลาง ยาไอซ์ จำนวน 1 ถุง น้ำหนัก 1 กิโลกรัม โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง โดยสามารถจับกุมได้ที่ลานจอดรถ ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาบางนา แขวงและเขตบางนา กรุงเทพฯ พร้อมตรวจยึดยาไอซ์ของกลางได้ที่ห้างเมเจอร์ สาขารัชโยธิน ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ
สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีกลุ่มเครือข่ายค้ายาเสพติดชาวลาว ทราบชื่อนายกิ๊บ นางแสน (ทั้งสองไม่ทราบนามสกุลจริง) และน.ส.จำปา หรือจ๋า สุดแล้ว ลักลอบจำหน่ายยาเสพติด จึงได้ติดต่อล่อซื้อยาไอซ์ จำนวน 1 กิโลกรัม ในราคา 750,000 บาท โดยนัดส่งของกัน เมื่อถึงเวลานัดทางน.ส.จำปา ได้โทรศัพท์ติดต่อกับสายลับว่าจะเดินทางมาที่ห้างย่านบางนา เพื่อขอดูเงินค่ายาไอซ์ เมื่อดูเงินเป็นที่พอใจแล้ว น.ส.จำปาแจ้งว่าให้ไปรับยาไอซ์ที่บริเวณริมถนนใกล้กับห้างเมเจอร์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกชุดจึงเดินทางไปจุดรับของ พบของกลางวางอยู่บริเวณริมถนนแต่ไม่พบตัวคนวาง จึงส่งแจ้งให้ชุดปฏิบัติการเข้าจับกุมน.ส.จำปาไว้ เบื้องต้นแจ้งข้อหาร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต
คดี 5 เมื่อวันที่ 4 ก.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจยานพาหนะชุมพร กก.2บก.ปส.4 ได้ตั้งจุดตรวจริมถนนเพชรเกษม ม.2 ต.หงษ์เจริญ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร พบรถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า สีบรอนซ์ ทะเบียน 5 กท 7808 กรุงเทพมหานคร ขับมามีพิรุธต้องสงสัย คือ คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าข้างคนขับปฏิเสธและโวยวายที่จะลงมาจากรถ เจ้าหน้าที่จึงขอเข้าตรวจค้น พบยาบ้า จำนวน 5,000 เม็ด อยู่ในเสื้อที่น.ส.นฤมล สุขยะฤกษ์ อายุ 25 ปี ชาวจ.สงขลา จึงตรวจค้นรถพบยาบ้าอีก 75,800 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าเดินทางท้ายรถยนต์คันดังกล่าว จึงจับกุมผู้ที่นั่งรถที่เหลือที่มาด้วยกันทั้งหมด ทราบชื่อ น.ส.จุฑารัตน์ บิลละเตะ อายุ 33 ปี และนายวรรษิษฐ์ สมทรง อายุ 35 ปี ทั้งหมดเป็นชาวจ.สงขลา เบื้องต้นแจ้งข้อหา ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต
ขณะที่ พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ กล่าวว่า จับกุมครั้งนี้เป็นผลจากการประสานการทำงานของ บช.ปส. ร่วมกับตำรวจภูธรภาค 5 ภาค 6 กองทัพภาคที่ 3 และหน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง ในช่วงวันที่ 28 มิ.ย.- 4 ก.ค. สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 15 ราย ของกลางเป็นยาบ้ารวมกว่า 3.5 ล้านเม็ด ยาไอซ์ 42.6 กิโลกรัม กัญชา 525 กิโลกรัม ยึดรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และโทรศัพท์มือถือได้อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดผลอย่างจริงจัง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามความคืบหน้ากรณีเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ บช.ปส. บุกจับยาบ้าและยาไอซ์ได้จำนวนมาก ที่บริเวณป่าทึบใกล้กับค่ายมวย ส.แจ้งอรุณ และซุ้มไก่ชนชื่อ เรืออากาศตรี ทนงศักดิ์ ท้ายซอยสายไหม 10 ซึ่งมี พ.อ.อ.รับเป็นเจ้าของซุ้มไก่ดังกล่าว (แถลงคดีที่ 3)
พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ กล่าวว่า ทาง บช.ปส.กำลังประสานกับทหารเพื่อรวบรวมข้อมูล จากการสอบปากคำ พ.อ.อ.ทนงศักดิ์ เบื้องต้นเจ้าตัวให้การปฏิเสธ ส่วนผู้ร่วมเครือข่ายที่ยังหลบหนีนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่ายังอยู่ในประเทศไทย ขณะนี้กำลังเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดี