วันที่ 30 มี.ค.60 พล.ต.ต.ชูรัตน์ ปานเหง้า รองผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 5 เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับนางยศวดี ปานเหง้า ภริยา หลังถูกกัปตันและแอร์โฮสเตส ของสายการบินนกแอร์ ไล่ลงจากเครื่องบิน เหตุเกิดเมื่อช่วงเช้าวันนี้ ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง กรุงเทพฯ ซึ่งนอกจากจะทำให้เสียความรู้สึก และเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยังถูกผู้โดยสารคนอื่นบนเครื่องถ่ายคลิป และตำหนิที่ทำให้เครื่องบินล่าช้า
พล.ต.ต.ชูรัตน์ กล่าวว่า นอกจากนี้เมื่อสอบถามเรื่องขอคืนเงินค่าโดยสาร สายการบินกลับปฏิเสธจะคืนเงินให้ จนเกิดการโต้เถียงกันขึ้น กระทั่งเจ้าหน้าที่สายการบินแจ้งว่า ให้ลงเครื่องไปก่อนและไปติดต่อที่สำนักงานของสายการบินเพื่อทำเรื่องขอคืนเงินภายหลัง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.ชูรัตน์ ได้โทรศัพท์ไปหาภรรยาที่ท่าอากาศยานดอนเมืองเพื่อให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว โดยนางยศวดี เล่าเหตุการณ์ว่า ก่อนหน้านี้เดินทางจาก จ.อุดรธานี มาเยี่ยมน้องชายที่ป่วยพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลเเห่งหนึ่ง ระหว่างนั้นรู้สึกเวียนศีรษะ จึงไปตรวจร่างกายกับแพทย์ เบื้องต้นแพทย์แจ้งว่า น้ำในหูไม่เท่ากันให้นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล 2 วันเพื่อดูอาการ ทำให้ต้องเลื่อนตั๋วเครื่องบินที่จองไว้ ต่อมาอาการดีขึ้นแพทย์จึงอนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาลได้ ตนจึงจองตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทางกลับ จ.อุดรธานี โดยได้จองเที่ยวบินของสายการบินนกเเอร์ (ดอนเมือง- อุดรธานี เที่ยวบิน DD 9202) ออกเดินทาง 10.00 น.เลขที่นั่ง 41 C
นางยศวดี กล่าวว่า ช่วงเช้าวันนี้ตนได้เดินทางไปเช็คอิน และขึ้นเครื่องตามเวลาที่กำหนดก่อนเครื่องออก ระหว่างนั้นสังเกตเห็นพนักงานให้บริการรถวีลแชร์กับผู้โดยสารรายอื่น จึงเข้าไปคุยกับแอร์โฮสเตส พร้อมแจ้งว่า หากถึงท่าอากาศยานอุดรธานี อาจจำเป็นต้องขอรถวีลแชร์ให้ช่วยเหลือนำรถจากเครื่องบิน ในกรณีที่ตนเกิดอาการเวียนศีรษะ แต่หลังจากเดินไปนั่งยังที่นั่งบนเครื่อง ปรากฏว่าแอร์โฮสเตสซึ่งเดินไปแจ้งให้กัปตันทราบแล้วได้เดินมาเชิญตนลงจากเครื่องบิน พร้อมแจ้งว่า ตนไม่สามารถโดยสารไปกับเที่ยวบินนี้ได้ เพราะเป็นกฎของการบินและเพื่อความปลอดภัย เมื่อตนพยายามชี้แจงว่า ได้สอบถามแพทย์ที่รักษาตนแล้วว่าสามารถขึ้นเครื่องบินได้หรือไม่ แพทย์ระบุว่า สามารถโดยสารเครื่องบินได้ตามปกติ แต่แอร์โฮสเตสกลับขอเอกสารหนังสือรับรองจากแพทย์ เมื่อตนยื่นเอกสารให้ตรวจสอบ เเอร์โฮสเตสกลับไม่ยอมฟังและยังเชิญตนลงจากเครื่อง ทำให้ต้องโทรศัพท์ไปคุยกับพยาบาลที่โรงพยาบาลที่ตนรักษา ซึ่งแม้พยาบาลยืนยันเช่นเดียวกับแพทย์ที่รักษาตน เเต่แอร์โฮสเตสไม่ยินยอมและยังเรียกเจ้าหน้าที่อีก 3 - 4 คนมาเชิญตนลงจากเครื่อง
นางยศวดี กล่าวอีกว่า ครั้งแรกตนไม่ยอมลงจากเครื่องเพราะเห็นว่าไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน และเมื่อทวงถามเงินค่าโดยสารคืนกลับถูกบ่ายเบี่ยงจนเกิดการโต้เถียงกันขึ้น แต่สุดท้ายตนต้องยอมลงจากเครื่อง โดยมีเจ้าหน้าที่ของสายการบินและท่าอากาศยานนำลงมา
"นอกจากจะเสียความรู้สึกกับสายการบินดังกล่าว และรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ เพราะถูกผู้โดยสารคนอื่นมองว่าทำให้เครื่องล่าช้า และบางคนยังถ่ายคลิปภาพดิฉันไปด้วย ขณะที่ชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งติดกันก็ไล่ให้ลงไป แต่เมื่อดิฉันแจ้งว่าจะลงไปก็ต้องขอคืนเงินค่าโดยสาร ผู้โดยสารรายนี้กลับพูดว่าจะขอเรี่ยไรเงินจากผู้โดยสารรายอื่นเพื่อเอามาคืนให้กับดิฉัน"
นางยศวดี กล่าวว่า ไม่ได้ต้องการเรียกร้องค่าเสียหาย แต่ต้องการเงินค่าโดยสารจำนวน 1,450 บาทคืน และหลังจากนี้คงจะไม่ใช้บริการสายการบินดังกล่าวอีก โดยหลังจากถูกเชิญลงเครื่อง ก็ได้ไปจองตั๋วโดยสารของสายการบินอื่น เพื่อเดินทางกลับ จ.อุดรธานี ในช่วงบ่ายวันนี้
ขณะที่พล.ต.ต.ชูรัตน์ กล่าวว่า หลังจากภรรยาโทรศัพท์มาเล่าให้ฟังรู้สึกงงมาก เหตุใดเจ้าหน้าที่ถึงไม่ชี้แจงหรืออธิบายให้ทราบ ซึ่งภรรยาของตนก็เดินเหินได้ตามปกติ แต่ด้วยความกังวลจึงประสานขอความช่วยเหลือไว้ล่วงหน้าเท่านั้น ไม่คิดว่าเจ้าหน้าที่จะปฏิบัติกับผู้โดยสารเช่นนี้ ทั้งๆที่พยายามชี้แจงแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างการให้สัมภาษณ์ พล.ต.ต.ชูรัตน์ ได้วิดีโอคอลไปหาภรรยาที่กำลังนั่งรอโดยสารเครื่องบินกลับ จ.อุดรธานี ซึ่งนางยศวดี ยังคงมีสีหน้าที่เคร่งเครียดและน้ำตาซึมในช่วงนั้นด้วย
Cr:: springnews.co.th/th/2017/03/34743/