30 มีนาคม 2560 ผู้สี่อข่าวประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ รายงานบรรยากาศการตัดสินคดี ระหว่าง นายกฤติเดช ระเวงวรรณ ผู้ใหญ่บ้านสีถาน หมู่ที่ 15 ตำบลดงลิง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ ผู้ต้องหา ข่มขืนกระทำชำเรา และทำให้ น.ส.ฤดีวัลย์ พลประสิทธิ์ ถึงแก่ความตาย ซึ่งวันนี้เป็นวันพิพากษาคดี ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้นัดฟังคำพิพากษาที่บัลลังค์ 2 ในเวลา 09.00 น.
และตั้งแต่ในช่วงเช้าตูร่ นายกฤษณ์ นางลำไย พลประสิทธิ์ พ่อแม่น้องสโนว์ และ น.ส.ภัทรานิตย์ พลประสิทธิ์ พี่สาว และญาติกว่าหนึ่งร้อยคน เดินทางเข้ามาเฝ้าติดตาม ขณะที่ฝ่ายจำเลย ญาติ ได้เดินทางมาพร้อม นายวิรัช พิพรพงษ์ ทนายความ ทั้งนี้คดีดังกล่าวอัยการฝ่ายโจกท์ได้ยื่นฟ้องจำเลย ข้อหาข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน 2559 ซึ่งศาลได้ดำเนินการพิจารณาคดีสืบพยานฝ่ายโจกท์ 40 ปากพร้อมเอกสารกว่าหนึ่งร้อยฉบับ ขณะที่สืบฝ่ายจำเลยจำนวน 11 ปาก
การอ่านคำพิพากษาเริ่มขึ้นเวลา 10.00 น.และใช้เวลาอ่านเกือบ 2 ชั่วโมง ซึ่งศาลามีคำพิพากษา จำเลย นายกฤติเดช ระเวงวรรณ ผู้ใหญ่บ้านสีถาน จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 276 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 277 ทวิ(2),290 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฏหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต และให้จำเลย ชำระเงิน 2,390,000บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
คำพิพากษามีดังนี้ คดีหมายเลขดำที่2112/2559 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2560 พนักงานอัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ โจทก์ นางลำไย พลประสิทธิ์ โจทก์ร่วมที่ 1 นายกฤษ พลประสิทธิ์ โจทก์ร่วมที่ 2 ระหว่างจำเลย นายกฤติเดช ระเวงวรรณ ต่อความผิดต่อชีวิต ข่มขืนกระทำชำเรา
โจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายและฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276,277 ทวิ,290 จำเลยให้การปฏิเสธ
พิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ โจทห์ร่วมทั้งสองและจำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้อต้นจึงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2558 เวลา 18.40 น. น.ส.ฤดีวัลย์ พลประสิทธิ์ ผู้ตาย ขับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน ขนว.ร้อยเอ็ด 443 จากโรงเรียนร่องคำเดินทางกลับบ้านไปตามถนนสายบ้านสีถาน - บ้านโนนเมือง ตำบลดงลิง อำเภอกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุมีคนร้ายขับรถจักรยานยนต์เข้าไปเบียดชนและให้เท้าถีบรถของผู้ตายจนเสียหลักล้มลงข้างถนน จากนั้นคนร้ายดึงลากตัวผู้ตายเข้าไปในทุ่งนาแล้วบีบคอและชกต่อยบริเวณท้อง ลำตัวและใบหน้าผู้ตาย แล้วคนร้ายใช้นิ้วสอดใส่ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศผู้ตาย ผู้ตายต่อสู้ขัดขืน คนร้ายจึงชกต่อบริเวณท้องผู้ตาย จนเป็นเหตุให้ผู้ตายตับฉีกขาดถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยเป็นคนร้ายหรือไม่ โจทก์มีพยานบุคคลเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุ เห็นจำเลยขับรถจักรยานยนต์แล่นติดตามรถของผู้ตายตั้งแต่ปากทางเข้าบ้านสีถานไปจนถึงบริเวณที่เกิดเหตุ หลังเกิดเหตุ ผู้ตาย โทรศัพท์แจ้งบิดามารดาไปรับบริเวณที่เกิดเหตุและเล่าให้บิดามารดาฟังว่า ผู้ตายกัดที่มือคนร้ายและใช้มือบีบลูกอัณฑะคนร้าย คนร้ายมีอาการเจ็บปวดที่ลูกอัณฑะจึงชกที่ท้องผู้ตายหลายครั้งแล้ววิ่งไปขับรถจักรยานยนต์ไปทางบ้านสีถาน
ต่อมาในระหว่างที่จำเลยเข้าร่วมประชุมเพื่อสืบหาตัวคนร้ายมีผู้สังเกตเห็นร่องรอยบาดแผลที่นิ้วหัวแม่มือข้าวขวาของจำเลย จึงถ่ายรูปบาดแผลดังกล่าวส่งให้เจ้าพนักงานตำรวจ เจ้าพนักงานตำรวจจึงเชิญตัวจำเลยไปตรวจร่างกาย ผลการตรวจพบบาดแผลที่นิ้วหัวแม่มือข้างขวาของจำเลย และลูกอัณฑะจำเลยมีอาการบวม จำเลยอ้างว่าบาดแผลดังกล่าวเกิดจากหนูกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการชันสูตรพลิกศพและสัตวแพทย์ตรวจดูภาพถ่ายบาดแผลดังกล่าวแล้วมีความเห็นว่าไม่ใช่บาดแผลที่เกิดจากหนูกัด แต่บาดแผลเข้ากับรอยขบกัดของฟันมนุษย์ได้ นอกจากนี้เจ้าพนักงานตำรวจได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า มีรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นเวฟสีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน ขคธ กาฬสินธุ์ 185 จอดอยู่ที่บ้านของบิดามารดาจำเลย โดยมีพยานบุคคลเคยเห็นจำเลยใช้รถต้องสงสัยคันดังกล่าว พนักงานสอบสวนจึงนำรถคันต้องสงสัยและรถของผู้ตายไปตรวจเปรียบเทียนร่องรอยการชนปรากฏว่ารถทั้งสองคันมีร่องรอยความเสียหายที่เข้ากันได้ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า
ก่อนเกิดเหตุผู้ตายขับรถจักรยนยนต์ หมายเลขทะเบียบ ขนว ร้อยเอ็ด 443 จากโรงเรียนร่องคำเดินทางกลับบ้านไปตามถนน สายขอนแก่น-โพนทอง เมื่อไปถึงปากทางเข้าบ้านสีถานได้เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสายบ้านสีถาน-บ้านโนนเมือง ในขณะนั้นจำเลยขับรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน ขคธ กาฬสินธุ์ 185 แล่นสวนทางกับรถของผู้ตาย จำเลยเห็นผู้ตายจึงขับรถย้อนกลับไปไล่ติดตามรถของผู้ตายจนถึงที่เกิดเหตุแล้วขับรถเข้าไปเบียดชนและใช้เท้าถีบรถของผู้ตายจนเสียหลักล้มลงข้างถนน จำเลยลงจากรถเข้าไปดึงตัวผู้ตายไปที่บริเวณทุ่งนาแล้วทำร้ายผู้ตายโดยการบีบคอ ชกต่อยที่ท้อง ลำตัว และใบหน้าผู้ตายและใช้นิ้วสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศผู้ตาย ในขณะที่จำเลยใช้มือข้างขวาปิดปากผู้ตายไม่ให้ส่งเสียงดัง ผู้ตายกัดที่นิ้วหัวแม่มือข้างขวาของจำเลยและใช้มือบีบลูกอัณฑะจำเลย จำเลยจึงชกต่อยที่ท้องผู้ตายแล้วขับรถหลบหนีไปทางบ้านสีถาน
การที่จำเลยใช้นิ้วสอดใส่เข้าไปในอวัยละเพศผู้ตายถือว่าเป็นการใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศผู้ตาย จึงเป็นการกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง พฤติการณ์ที่จำเลยทำร้ายผู้ตายแล้วข่มขืนกระทำชำเราเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ถือว่าเป็นควาผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายและฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตายตามฟ้อง
พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา 276 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 277 ทวิ(2),290 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตายซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิต และให้จำเลยชำระเงิน 2,390,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสณ้จแก่โจทก์ร่วมทั้งสอง
ทั้งนี้ภายหลังตัดสินคดี ครอบครัว พลประสิทธิ์ ร้องไห้ด้วยความดีใจและพอใจในผลคำตัดสินต่อกระบวนการยุติธรรม นางลำไย-นส.ภัทรานิตย์ พลประสิทธิ์ แม่และพี่สาวของน้องสโนว์ กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นวันที่ทวงเอาความยุติธรรมให้แก่น้องสโนว์ เพราะตลอดระยะเวลา 464 วันครอบครัวมีความทุกข์ทรมานและหวังเพียงว่ากระบวนการยุติธรรมจะสมารถลงโทษคนร้ายได้
น.ส.ภัทรานิตย์ พลประสิทธิ์ พ่อสาวน้องสโนว์ กล่าวว่า ตั้งแต่เมื่อคืนครอบครัวได้พากันจุดธูปบอกน้องสโนว์ ว่าวันที่รอคอยมาถึงแล้ว ซึ่งต้องขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจจังหวัดกาฬสินธุ์ อัยการจังหวัดกาฬสินธุ์ ที่ได้หาพยานหลักฐานไปดำเนินคดีกับคนร้าย ซึ่งต่อไปนี้ครอบครัวก็จะมีความสุข และขอให้เป็นบทเรียนและน้องสโนว์คงเป็นเหยื่อคนสุดท้ายต่อคดีข่มขืน เพราะไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครก็เสียใจ ทั้งนี้ถึงแม้จะมีการต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ แต่ผลคำตัดสินของศาลชั้นต้นออกมานั้นไม่ว่าจะอย่างไรครอบครัวก็จะติดตามต่อไปให้ถึงที่สุด
ขณะที่ นายวิรัช พิพรพงษ์ ทนายฝ่ายจำเลย กล่าวว่า คดีนี้นี้ในส่วนของจำเลยก็เตรียมที่ต่อสู้คดีโดยจะยื่นอุทธรณ์ภายใน 30 วัน หรือไม่อาจจะขอขยายเวลาในการอุทธรณ์ ซึ่งก็จะต้องตรวจเอกสารสำนวนคำพิพากษาก่อน ส่วนจะหยิบยกประเด็นไหนมาต่อสู้ก็คงต้องตรวจคำพิพากษาก่อน