จากกรณีเหตุการณ์นายสุเทพ โภชน์สมบูรณ์ อายุ 50 ปี อาชีพวิศวกร ใช้อาวุธปืนยิง นายนวพล ผึ่งผาย หรือปอน นักเรียนชั้น ม.4 เสียชีวิต โดยสืบเนื่องจากเหตุการณ์ทั้ง 2 ฝ่ายทะเลาะกันเรื่องรถตู้จอดรถกีดขวางทาง ก่อนที่จะบานปลายจนกลายเป็นเหตุยิงนายนวพล เสียชีวิต โดยที่มีการปล่อยคลิปวงจรปิดออกมาจำนวนหลายคลิปจนเกิดการวิพากษ์วิจารณ์นั้น
โลกออนไลน์มีการแชร์ข้อความจากสมาชิกเฟซบุ๊ก สารวัตรเอก หุ่น ซึ่งระบุตำแหน่งตนเองว่า เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สลุย ได้โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นว่า "ผมคิดแบบนี้... วิศวกรนั่งในรถ หลัง จากหนีและหลีกเลี่ยงเหตุปะทะมาตลอด (ตามวิสัยของคนมีปืนถูกกฎหมาย และได้เคยฝึกมา ไม่มีใครอยากยิงปืนตัวเองในที่สาธารณะ ถ้าไม่ร้ายแรงถึงชีวิตจริงๆ) การนั่งในรถเป็นมุมอับที่หนีไม่ได้ ทั้งยังโดนจอดรถปะกบหน้าหลัง มีกลุ่มวัยรุ่นคู่กรณี วิ่งกรูกันเข้ามาล้อมทั้งคัน คนนั่งในรถมุมยิงกดมันไม่มี คนรุมกันเข้ามาก็ไม่อาจคาดเดาว่ามีอาวุธอะไรมาบ้าง ถึงได้เหิมเกริมขนาดนี้ จะมีช่องยิงก็ที่ระดับอก ทาบระดับเดียวกับหน้าต่างรถเท่านั้น ยิงขาคงไม่มีโอกาสแน่
กรณีถ้าเล็งแขน (สมมุติเล็งได้อย่างทนายบางท่านแนะ) เป้าเคลื่อนที่ไปมา ไม่ได้หยุดนิ่ง มีโอกาสยิงไม่โดนแขน ก็จะพลาดไปโดนตัวอยู่ดี ถ้าไม่โดนทั้งแขนทั้งตัวคราวนี้หลุดไปโดนผู้บริสุทธ์เบื้องหลังแน่นอน เพราะที่เกิดเหตุมีรถและคนมากมาย และการยิงพลาด นั่นหมายถึงต้องยิงซ้ำนัดที่ 2-3-4-5
การยิงสุ่มเพียง 1 นัดระหว่างโดนรุมยำ ไม่มีใครหวังให้ตาย เหยื่อเพียงหวังก็เพื่อหยุดยั้งภัยร้ายแรงที่เข้าถึงตัวแล้ว อย่างจำเป็นเร่งด่วน เพื่อให้ตนและครอบครัวปลอดภัย และต้องชี้ไปที่เป้าหมายใหญ่เพื่อให้เหตุการซึ่งหน้าหยุด และไม่ให้กระสุนพลาดไปโดนผู้ไม่เกี่ยวข้อง คนครองปืนอย่างถูกกฎหมายทุกคน ต้องใส่ใจเคสนี้อย่างจริงจัง เพราะมันเกิดกับใครก็ได้ ถ้าไม่รักษาชีวิตเราจะซื้อปืนถูกกฎหมายไว้ทำไม
"มีปืนแล้วไม่ได้ใช้ ดีกว่าจะใช้แล้วไม่มี" "ปืนมันคือทรัพย์สิน ที่ใช้ดูแลชีวิตและทรัพย์สินของเรา"และ "เป็นสิ่งที่ต้องใช้ ในโอกาสสุดท้าย ที่ยังมีชีวิตเท่านั้น" หากเราถูกฆ่าตายแล้ว มีปืนไม่ยิงก็ไร้ประโยชน์ จำไว้ครับ "เดินขึ้นสู้ในศาล ดีกว่าถูกหามขึ้นศาลา"