คืบหน้าล่าสุด เวลา 10.00 น. วันที่ 23 ม.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ผู้เสียหายได้เดินทางเข้ายื่นเอกสารให้ดีเอสไอตรวจสอบว่าคลิปวีดีโอดังกล่าวมีการตัดต่อหรือไม่ และให้พิสูจน์ว่าบุคคลในคลิปวีดีโอเป็นใคร และสถานที่ใช่กุฏิวัดหรือไม่ และขอเรียกร้องเรื่องความปลอดภัยให้กับตนและครอบครัวด้วย เนื่องจากถูกข่มขู่จนเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย โดยมีพ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการศูนย์บริหารคดีพิเศษ ดีเอสไอ เข้าร่วมด้วย
น.ส.บี กล่าวว่า ตนเดินทางมาร้องเรียนที่ดีเอสไอ เพื่อให้ตรวจสอบพฤติกรรมของเจ้าอาวาส เพราะหลังจากที่มีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงแล้ว ก็ถือว่าขาดจากความเป็นพระ หรือปาราชิกเรียบร้อยแล้ว แต่พระยังห่มผ้าเหลืองและครองเพศเป็นพระอยู่ รวมถึงยังรับบริจาคเงินและสิ่งของต่างๆนั้น จะเข้าข่ายจะหลอกลวงประชาชนหรือไม่ ทั้งนี้ ตนยังถูกข่มขู่จากคณะศิษย์ของทางวัด และการใช้กระบวนการยุติธรรมพยายามที่จะปิดปากตน เพราะหลังจากที่ตนเริ่มออกมาเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ เมื่อปี 2557 ทางวัดก็ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับตนในข้อหากรรโชกทรัพย์ และความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ยังมีผู้หญิงถูกกระทำในลักษณะเดียวกันอีก 2-3 คน แต่ขณะนี้เขายังไม่กล้าให้ข้อมูลต่อสาธารณะชนเพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับความปลอดภัย
น.ส.บี กล่าวต่อว่า สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตน สืบเนื่องจากเมื่อปี 2551-2552 ตนได้ไปบวชชีพราหมณ์ที่วัดดังกล่าว เนื่องจากรู้จักและมีความศรัทธากับวัดนี้มาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก โดยครอบครัวพาไปทำบุญที่วัดนี้อยู่เป็นประจำ จึงตัดสินใจไปบวชชีพราหมณ์ที่วัดเป็นเวลา 2 ปี
ก่อนจะออกมาทำงานและใช้ชีวิตตามปกติเมื่อปี 2553 ต่อมาเมื่อปี 2554 ตนกลับไปทำงานที่วัดดังกล่าว โดยการช่วยเหลือและดูแลวัดซึ่งในปีนี้เองเจ้าอาวาสเริ่มพูดจาหว่านล้อม พยายามให้ตนเข้าไปหาที่กุฏิถึง 3 ครั้ง ด้วยการอ้างว่าเคยเป็นคู่รักกันในอดีตชาติ ถ้าตนไม่ไปพบก็จะมีอันตรายและยังอ้างไม่สบายบ้าง เพื่อให้นำยาแก้แพ้เข้าไปให้ ซึ่งใน 3 ครั้งนั้น ยอมรับว่ามีการถูกเนื้อต้องตัวบ้าง ซึ่งตนก็ตกใจ แต่คิดว่าไม่มีอะไร และยังไม่ถึงขั้นอาบัติปาราชิก ก่อนจะมาถูกล่อลวงมีเพศสัมพันธ์ในครั้งที่ 4 และอีกครั้งคือตอนที่ตนตัดสินใจเข้าไปตามคำชวนเพื่อต้องการถ่ายคลิปวีดีโอไว้เป็นหลักฐาน
"ครั้งที่ 1-3 นั้น การที่ถูกแตะเนื้อต้องตัวก็รู้สึกตกใจ แต่จะไปเล่าให้เพื่อนหรือใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อ ทุกคนก็จะต้องเลือกเชื่อพระกันหมด เพราะเราไม่มีหลักฐานและการที่เราไปพบนั้นก็ไม่เข้าใจตัวเองว่า ทำไมถึงมีความรู้สึกอยากทำตามที่เขาบอก และรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง พอเขาโทรศัพท์มาบอกให้ไป
เราก็มีความรู้สึกว่าอยากไป พอมองย้อนกลับไปก็คิดเหมือนกันว่าทำไมเราต้องทำตามแบบนั้น ทั้งนี้ ยืนยันก่อนหน้านี้ไม่เคยมีปัญหาอะไรกัน"
น.ส.บี กล่าวต่อว่า สำหรับคดีกรรโชกทรัพย์ที่ตนถูกแจ้งความนั้น โดยทางวัดได้ไปแจ้งความโดยอ้างว่าตนเขียนจดหมายไปขู่เอาเงินจากพระ 30 ล้านบาท แต่เมื่อคดีถึงชั้นศาล ทางวัดกลับอ้างว่าได้เผาจดหมายฉบับนั้นไปแล้ว ส่วนในวันที่ตนถูกจับนั้น เหตุการณ์เกิดขึ้น โดยมีแม่ชีซึ่งเป็นตัวแทนของวัด
โทรศัพท์มาบอกให้ตนซื้อแจ่วฮ้อนเข้าไปให้ภายในวัด ซึ่งปกติตนก็จะซื้อไปให้อยู่เป็นประจำ และไม่คิดว่าจะเป็นการเตรียมดำเนินคดีอะไรกับตน
ซึ่งตนก็ซื้อเข้าไปให้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่เมื่อไปถึงวัดก็มีผู้ชายประมาณ 6 คน เข้ามาล้อมจับเรา ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร เพราะไม่ได้มีการแสดงตัวเป็นตำรวจ และไม่มีการแจ้งข้อหา โดยระบุเพียงว่ามีคนแจ้งความไว้และจะนำตนไปโรงพัก
ผู้เสียหาย กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ยังให้ตนเซ็นต์เอกสารเปล่าและนำตนไปสอบสวน ซึ่งไม่ใช่ห้องสอบสวนปกติ ไม่ให้พบญาติและทนายความ ทั้งนี้ ในวันดังกล่าวตนได้เพียงค่าแจ่วฮ้อน 1,000 บาท ส่วนเงิน 30,000 บาท ที่ทางวัดอ้างว่าเราจะเข้าไปรับ ก่อนเงิน 30 ล้านบาทนั้น มาทราบทีหลังว่าอยู่ในซองสีน้ำตาล
โดยคนถือซองคือคนที่อ้างตัวว่าเป็นตำรวจ ส่วนคดีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ คลิปที่ตนแอบถ่ายระหว่างที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระนั้นตนไม่ได้เป็นคนนำไปเผยแพร่ แต่คลิปทั้งหมดถูกเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตำรวจยึดไป เขาอ้างว่าเมื่อเราไม่ได้เงิน 30 ล้านบาท เอาภาพมาเผยแพร่บนอินเตอร์เน็ต ซึ่งทั้งหมดเป็นการกล่าวหาตน ทั้งที่ตนไม่เคยกรรโชกทรัพย์แต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคดีอยู่ในชั้นอุทธรณ์
ด้าน พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า หลังจากนี้ตนจะตรวจสอบรายละเอียดที่เกิดขึ้นในเรื่องดังกล่าว และจะเร่งพิจารณาเสนอต่ออธิบดีดีเอสไอให้ดำเนินการสั่งการตามขั้นตอนต่อไป