บิ๊กฉิ่งแนะรัฐบาลลุยแผนพิทักษ์ชายแดนใต้ต่อเนื่อง

"บิ๊กฉิ่ง"แนะรัฐบาลลุยแผนพิทักษ์ชายแดนใต้ต่อเนื่อง

"บิ๊กฉิ่ง" แนะรัฐลุยแผนพิทักษ์แดนใต้ต่อเนื่อง ชี้แนวทางปิดล้อม ตรวจค้น กวาดล้าง และจับกุมทำไฟใต้ดับมอดได้ ชี้โจรใต้ตอบโต้รุนแรงเพราะรัฐขาดความจริงจังและละเลยกับการแก้ปัญหามานาน พร้อมเสนอให้จัดอุสตาซเป็นครูฝึกผู้ช่วยทหารเข้าให้ความรู้ด้านเชื้อชาติ ศาสนาและมาตุภูมิที่ถูกต้องกับผู้ถูกเชิญตัวสอบ

(12สค.) พล.อ.กิตติ รัตนฉายา อดีตแม่ทัพภาค 4 เปิดเผยว่า ตามที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายกองกำลังได้ดำเนินการออกปฏิบัติเชิงรุกตามแผนพิทักษ์แดนใต้ด้วยการออกปิดล้อม ตรวจค้น กวาดล้าง และจับกุมผู้ต้องหาและเชิญตัวผู้ต้องสงสัยไปสอบสวนได้เป็นจำนวนมากในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานั้น ถือเป็นยุทธการและเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาเหตุการณ์ควสามไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ถูกต้องแล้ว ขณะเดียวกันอยากเรียกร้องให้ภาครัฐได้ดำเนินการตามแผนดังกล่าวอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อว่าเหตุการณ์อันเลวร้ายในพื้นที่จะได้ลดลง

"ผมมั่นใจว่าทุกๆ ยุทธการและทุกๆ แนวทางที่ภาครัฐได้เปิดดำเนินการอยู่ในพื้นที่ขณะนี้เป็นการแก้ปัญหาที่รัฐเองเดินทางถูกทางแล้ว โดยเฉพาะการเข้าปิดล้อม ตรวจค้น และออกกวาดล้างกลุ่มแนวร่วม จนส่งผลให้ฝ่ายตรงข้ามเกิดความเพลี้ยงพล้ำและเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกลับทุเลาลงอย่างชัดเจน ในเชิงลึกผมเชื่อว่าฝ่ายตรงข้ามหรือกลุ่มแนวร่วมที่หลงเหลืออยู่ตามหมู่บ้านต่างๆ คงต้องเสียขวัญและหมดกำลังใจที่จะทำหน้าที่ตามคำสั่งของแนวร่วมระดับผู้สั่งการกันมากขึ้น" พล.อ.กิตติ กล่าว


อดีตแม่ทัพภาค 4 กล่าวด้วยว่า ส่วนเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

ในขณะนี้ทั้งการลอบวางเพลิงโรงเรียน การลอบสังหารโหดคนชรา รวมถึงเหตุบุกยิงเจ้าหน้าที่ประจำสถานีอนามัยประจันในพื้นที่ จ.ปัตตานี นั้น ถือเป็นการตอบโต้ของฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการแสดงศัยภาพให้สสังคมได้รับรู้ว่าแม้ภาครัฐสามารถเข้าจับกุมกลุ่มแนวร่วมได้เป็นจำนวนมากแล้วแต่พวกเขาก็ยังสามารถออกมาก่อเหตุร้ายได้อย่างต่อเนื่องมากกว่า จึงเป็นเรื่องปกติที่เหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้จะเกิดขึ้น แต่อยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใจเย็นๆ กับการกระทำในลักษณะดังกล่าว เพราะเชื่อว่าหลังจากภาครัฐเปิดแผนพิทักษ์แดนใต้อย่างต่อเนื่องแล้วเหตุการณ์เช่นนี้จะค่อยๆ ลดลงย่างแน่นอน

"เหตุผลที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถออกมาก่อเหตุเพื่อตอบโต้แผนพิทักษ์แดนใต้ในลักษณะนี้ได้นั้น ผมมองว่าภาครัฐได้ปล่อยปละละเลยและขาดความจริงจังและจริงใจกับแนวทางการแก้ปัญหาเหตุการณ์ความไม่สงบที่เคยเกิดขึ้นในพื้นที่มาอย่างยาวนาน เพราะจากการสังเกตพบว่าเหตุการณ์ไฟใต้ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี 2547 แต่รัฐเพิ่งมาเอาจริงเอาจังกับการปิดล้อม ตรวจค้น และจับกุมกลุ่มแนวร่วมในปี 2550 ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้ฝ่ายตรงข้ามสามารถสร้างและขยายเครือข่ายได้เป็นจำนวนมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจนทุกอย่างยากต่อการควบคุม" พล.อ.กิตติ กล่าว

เขายังเปรียบเทียบอีกว่า หากเปรียบเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเกมส์การแข่งขันฟุตบอลอาจกล่าวได้ว่าก่อนหน้านี้ฝ่ายตรงข้ามได้ยิงประตูนำภาครัฐไปแล้ว 4 ต่อ 1 แต่หลังจากภาครัฐเปิดเกมรุกด้วยการนำแผนพิทักษ์แดนใต้เข้ามาปรับใช้แล้วจะส่งผลให้ผลการแข่งขันค่อยๆ ตีตื้นและตีเสมอขึ้นมาจนสามารถเอาชนะได้ในที่สุด หรือหากเปรียบทุกอย่างเหมือนกับการทำสงครามก็จะเข้าข่ายที่ว่า "ยิ่งรบ ยิ่งชนะ" อย่างแน่นอน และสุดท้ายประชาชนหรือผู้ชมจะอยู่กับฝ่ายที่ชนะตามมา


"ในทางกลับกันหากภาครัฐยังไม่ยอมรับว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของกลุ่มขบวนการแบ่งแยกดินแดน

ที่พยายามนำเอาเรื่องราวของเชื้อชาติ ศาสนา และมาตุภูมิมาเกี่ยวข้องเหมือนในช่วงที่ผ่านมา เชื่อแน่ว่าเครือข่ายหรือกลุ่มแนวร่วมโดยเฉพาะกลุ่มอาร์เคเค จะสามารถขยายเครือข่ายและเพิ่มจำนวนสมาชิกได้อีกหลายเท่าตัว แต่โชคดีที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายกองกำลังและภาครัฐได้นำแผนการปิดล้อม ตรวจค้น และเข้าจับกุมกลุ่มแนวร่วมมาปรับใช้อย่างจริงจังเสียก่อน ที่สำคัญคือไม่อยากให้รัฐมองว่าการแก้ปัญหาเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในขณะนี้เหมือนกับการแก้ปัญหาในช่วงที่รัฐบาลไทยทำสงครามกับโจรจีนคอมมิวนิสต์ (จคม.) ในอดีตแต่อย่างใด เพราะกลุ่ม จคม.เก่านั้นมีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบที่เข้าก่อเหตุอยู่ในขณะนี้โดยสิ้นเชิง" พล.อ.กิตติ กล่าว

อดีตแม่ทัพภาค 4 เสนอแนะอีกว่า เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการประท้วงและเป็นการละเมิดสิทธิมนุษย์ชนกับกลุ่มผู้ต้องสงสัยที่ถูกเชิญตัวไปสอบสวนยังศูนย์วิวัฒน์พลเมืองหรือถูกนำไปอบรมและฝึกอาชีพให้ตามค่ายทหารต่างๆ นั้น รัฐควรเปิดโอกาสให้บรรดาญาติๆ ของคนกลุ่มนี้ได้เข้าเยี่ยมอย่างเสรี ขณะเดียวกันควรจะจัดหาแนวร่วมที่กลับใจมาให้ความร่วมมือกับภาครัฐหรือจัดอุสตาซมาเป็นผู้ช่วยครูฝึกให้กับทหารเพื่อคอยให้ความรู้ในเรื่องของเชื้อชาติ ศาสนา และมาตุภูมิ ที่ถูกต้องให้กับคนกลุ่มนี้ด้วย เพื่อว่าพวกเขาจะได้เกิดความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้อย่างถ่องแท้และไม่กลับไปร่วมมือกับฝ่ายตรงข้ามในการออกมาก่อเหตุหลังทางการปล่อยตัวกลับ หรืออาจจะให้การนิรโทษกรรมกับคนกลุ่มนี้เพื่อจะได้เป็นเงื่อนไขและเป็นแรงจูงใจในการกลับตัวกลับใจให้พวกเขาเป็นคนดีให้จงได้ เหล่านี้เป็นต้น


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์