จากกรณีคนขับรถทัวร์ใช้ค้อนทุบฆ่าชิงทรัพย์ผู้โดยสารสาวใหญ่ ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วาปีปทุม สามารถจับกุมตัว นายวัชรินทร์ ประทุมพร อายุ 26 ปี ผู้ก่อเหตุได้ที่กระท่อมกลางทุ่งนา ท้ายหมู่บ้านจอกขวาง ต.หนองแสง จ.มหาสารคาม ซึ่งระหว่างเข้าจับกุม ผู้ต้องหาได้ต่อสู้ขัดขืน และทำร้ายนายตำรวจ 2 คน ได้รับบาดเจ็บ
เบื้องต้นจากการสอบสวน ผู้ต้องหาที่อยู่ในอาการลุกลี้ลุกลน พูดกลับไปกลับมาคล้ายคนเมายา สารภาพว่า เป็นผู้ก่อเหตุฆ่าชิงทรัพย์ นางบุญเพ็ง ปัญโญ อายุ 56 ปี ผู้โดยสารจริง โดยในวันเกิดเหตุได้เสพยาบ้ามาก่อน เมื่อเห็นนางบุญเพ็งโบกรถจึงจอดรับ ก่อนก่อเหตุทำร้ายร่างกายผู้ตายจนเสียชีวิต และนำศพไปทิ้งในที่เกิดเหตุ ส่วนสร้อยคอทองคำที่ขโมยไปจากผู้ตาย ได้นำไปทิ้งบริเวณทุ่งนาใกล้ที่เกิดเหตุ เนื่องจากสร้อยขาด แต่ยืนยันว่าไม่ได้ขโมยสร้อยข้อมือไป ทั้งนี้ ภายหลังก่อเหตุได้เดินลัดเลาะตามทุ่งนาไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะกลับไปที่บ้านเกิด โดยได้อาศัยนอนตามกระท่อมกลางนา จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่จับกุมในที่สุด ซึ่งภายหลังการจับกุมตัว ทันทีที่ผู้ต้องเห็นแม่ก็ร่ำไห้โผเข้ากอดทันที และได้ก้มลงกราบแม่ พร้อมบอกว่าสำนึกผิดในสิ่งที่ได้กระทำลงไป พร้อมที่จะรับโทษชดใช้กรรม
ด้าน แม่ของผู้ต้องหา กล่าวกับลูกของตนว่า ลูกทำไมต้องฆ่าเขา แม่มีลูกคนเดียว มีอะไรทำไมไม่บอกแม่ ไม่รู้ว่าอีกกี่ปีกี่เดือนถึงจะได้พบลูกอีก ขอให้หลังพ้นโทษออกมาให้กลับตัวกลับใจเป็นคนดีของแม่
ส่วนเจ้าของรถทัวร์คันเกิดเหตุ หลังจากทราบว่าเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้แล้ว ก็เตรียมเดินทางจาก จ.บุรีรัมย์ ไปให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมทั้งไปติดต่อเรื่องรถทัวร์คันที่ถูกใช้ก่อเหตุ ว่าจะสามารถนำรถออกมาได้ตอนไหนเพราะมีรถเพียงคันเดียวที่นำมาวิ่งร่วม ซึ่งหลังเกิดเหตุก็ต้องขาดรายได้จากการวิ่งรถทัวร์ซึ่งถือเป็นรายได้หลัก
ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ได้นำตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่รถทัวร์โดยสารคันเกิดเหตุ ซึ่งผู้ต้องหา เล่าว่า ได้ชกเข้าที่ใบหน้าของผู้ตาย 1 ครั้งจนผู้ตายสลบ จากนั้นก็ขับรถต่อมาเรื่อยๆ พอผู้ตายฟื้นและร้องขอให้ปล่อยตัว ได้ใช้ค้อนเคาะยางรถตีเข้าที่ศีรษะจนแน่นิ่งทำให้คิดว่าเสียชีวิตแล้ว จึงจะนำศพไปทิ้ง แต่รถเกิดติดหล่มไม่สามารถไปต่อได้ ซึ่งขณะนั้นพบว่าผู้ตายยังพอมีสติและร้องขอชีวิต จึงลากผู้ตายลงจากรถไปกลางทุ่งนา และทำร้ายร่างกายด้วยการกระทืบซ้ำจนแน่นิ่ง ก่อนหลบหนีไป
ขอบคุณเนื้อหาข่าวและภาพประกอบจาก :: morning-news.bectero.com