ทั้งนี้ นายอนันต์ชัย ระบุว่า ขณะนี้ตนอยู่ใน 2 ฐานะ ฐานะแรกคือ พยานผู้เห็นเหตุการณ์ และอีกฐานะคือ ทนายความของผู้เสียหาย โดยหากพูดในฐานะทนายความของผู้เสียหาย คือ ผมไม่เห็นตอนที่เขาฟันกันที่หลัง และศีรษะ เห็นแต่ คุณสมเกียรติ (ผู้เสียชีวิต) กำลังถือมีดดาบกวัดแกว่งไปมาเพื่อป้องกันตัว และพยายามหนีคนทั้ง 6 คนที่กำลังเข้ามารุมทำร้ายร่างกายจนมาถึงอู่รถยนต์ ห่างจากสำนักงานตนประมาณ 10 เมตร โดยมีผู้หญิงที่มาในกลุ่มตะโกนขึ้นมาว่า "เอามันเลย เอามันให้ตายเลย" และมีชายคนนึงเข้าไปเอาก้อนอิฐจากป่าละเมาะข้างทางมาปาใส่นายสมเกียรติ แต่นายสมเกียรติหลบได้ทัน
และหลังจากนั้นนายสมเกียรติได้ร้องให้คนในอู่ช่วย คนในอู่ก็ไม่กล้าช่วยเพราะมีแต่เด็กและผู้หญิง ตนก็ไม่รู้จะทำไงเพราะทุกคนมีอาวุธหมด ขณะนั้นมีหลานของนายสมเกียรติออกมาพยายามขอร้องอ้อนวอน จนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่เข้ามาและบอกให้ทุกคนวางอาวุธ แต่ขณะนั้นเองได้มีชายคนหนึ่งในกลุ่มที่ถือดาบอยู่ ใช้ดาบแทงเข้าไปที่คอของนายสมเกียรติ และในตอนนั้นจากที่มองไปที่กลุ่มวัยรุ่น พบว่าอยู่ในอาการมึนๆ เบลอๆ คาดเมาสุรา และทำไปโดยที่ไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่เกรงกลัวตำรวจเลย จนเจ้าหน้าที่ต้องยิงปืนขึ้นฟ้า 2 นัด จึงจะหยุด
ทั้งนี้ นายอนันต์ชัย ระบุเพิ่มว่า หญิงสาวที่เป็นแฟนหนึ่งในผู้ต้องหาได้เดินทางไปโรงพยาบาลที่ส่งตัวนายสมเกียรติไป และพอรู้ว่านายสมเกียรติเสียชีวิตแล้ว ยังกล่าวสมน้ำหน้า พร้อมบอกว่า "ถ้าแฟนติดคุก คอยดูแล้วกันจะอยู่ไม่ได้" ซึ่งตรงนี้มีคนมาเล่าให้ตนฟังอีกที และจากที่ดูลักษณะแล้ว ทั้งฝ่ายชายและหญิง ไม่มีความสำนึกในสิ่งที่ตนเองกระทำเลย
อย่างไรก็ตาม นายอนันต์ชัย ได้เข้าไปบอกกับผู้กำกับฯ ว่า ตั้งข้อหา ทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แบบนี้ไม่ถูกต้อง เพราะผู้ต้องหาทั้ง 6 คน ถือว่ามีการคิดไตร่ตรอง ฉะนั้นข้อหาที่เกิดขึ้นคือ ข้อหาฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งอัตตราโทษจะต่างกัน