รวบเจ้าสำนักวัดกกสาวคากุฏิ
สาววัยรุ่นสุดทน ถูกเจ้าสำนักสงฆ์ดังบุรีรัมย์ข่มขืนจนท้อง แถมบังคับให้ทำแท้ง ตัดสินใจแจ้งความพร้อมวางแผนให้เข้าหาในกุฏิและร่วมรักก่อนส่งสัญญาณให้ตำรวจจู่โจมและรวบพระดังได้ขณะกำลังร่วมรักสาว สารภาพทำสาวท้องและบังคับทำแท้ง ตรวจสอบพบสาวแก่แม่ม่ายไฮโซเป็นลูกศิษย์อื้อ
การแจ้งความและวางแผนจับกุมเจ้าสำนักสงฆ์ชื่อดังเมืองบุรีรัมย์ในข้อหาข่มขืนชำเราและรวบตัวได้ในสภาพเปลือยขณะร่วมรักสาวรายนี้ เริ่มขึ้นโดยเมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. วันที่ 5 เมษายน น.ส.สายใจ(นามสมมติ) อายุ 22 ปี ชาวต.ถาวร อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ เข้าร้องทุกข์กับ พล.ต.ต.ประพัฒน์ ศิริวัฒน์ ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ ว่าตนถูกพระธวัชชัย กมฺมโล เจ้าสำนักสงฆ์ พุทธสถานนิมิตกรรม บ้านหนองโบสถ์ หมู่ 17 ต.ตาจง อ.ละหานทราย ข่มขืนจนตั้งท้องและบังคับให้ไปทำแท้ง
น.ส.สายใจให้รายละเอียดว่า ตนทำงานเป็นพนักงานร้านอาหารแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และเมื่อเดือนพฤษภาคม 2548 ก็เจ็บปวดร่างกายโดยไม่รู้สาเหตุ ซึ่งญาติบอกว่าถูกของไสยศาสตร์ และแนะนำว่า พระธวัชชัย หรือหลวงพ่อจุก เป็นพระที่เก่งทางไสยศาสตร์เวทมนตร์อาคม มีผู้คนเคารพศรัทธามารักษาจำนวนมากจนเป็นที่รู้จักทั่วประเทศ ทุกวันจะมีหญิงสาวทั้งสาววัยรุ่น สาวใหญ่ไฮโซเดินทางมาให้ทำเสน่ห์จนแน่นวัด ตนจึงเดินทางไปให้พระธวัชชัยทำพิธีให้เอาคุณไสยที่คิดว่าถูกเสกเข้าตัวออก
น.ส.สายใจให้การต่อว่า หลังเข้ารักษา ตนก็สนิมสนมกับพระธวัชชัยถึงขั้นแอบไปเที่ยวด้วยกัน พระธวัชชัยจะแต่งตัวเป็นชาวบ้าน และตระเวนเที่ยวที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และ จ.พิษณุโลก และได้เสียกันจนตัวเองตั้งท้องได้ 2 เดือน ก็ถูกพระธวัชชัยบังคับให้ไปทำแท้ง ที่คลินิกใน จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ตนให้พระธวัชชัยรับผิดชอบ แต่พระชื่อดังกลับพยายามตีตัวออกห่าง จนสืบทราบว่าแอบไปมีความสัมพันธ์ได้เสียกับสาวไฮโซหลายรายที่มาทำไสยศาสตร์
หลังรับแจ้ง พ.ต.อ.เปรื่อง นาคะพงษ์ ผกก.สภ.อ.ละหานทราย ก็สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงพร้อมรีบดำเนินการเพราะถือว่าเป็นเรื่องสร้างความเลื่อมเสียต่อศาสนาอย่างมาก และได้วางแผนให้ น.ส.สายใจ โทรศัพท์ติดต่อกับพระธวัชชัยว่าจะไปหา บอกว่ากำลังมีอารมณ์ ชุดจับกุมจึงให้ น.ส.สายใจเข้าไปหาพระธวัชชัยในกุฏิ และนัดแนะว่าหากพระธวัชชัยทำอะไรให้กดสัญญาณโทรศัพท์มือถือให้ตำรวจรู้เพื่อเข้าบุกจับกุม
หลังนัดแนะ ตำรวจจึงปลอมตัวเป็นคนขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างไปส่ง น.ส.สายใจ ที่หน้ากุฏิพระธวัชชัย มีตำรวจนอกเครื่องแบบปลอมตัวเป็นชาวบ้านเข้าล้อมกุฏิ และพบว่ามีรถยนต์หรูราคาแพงจอดอยู่หน้ากุฏิหลายคัน และพบหญิงสาวหลายรายอยู่ในชุดขาวนั่งวิปัสสนาและมีธูปจุดอยู่ข้างหน้าในอาการสงบหน้ากุฏิที่สร้างเหมือนศาลา
จากนั้นตำรวจเห็นพระธวัชชัยออกมารับ น.ส.สายใจเข้าไปในห้องและปิดประตูเหล็กหน้ากุฏิ กระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 20 นาที ชุดจับกุมที่แอบฟังข้างกุฏิ ได้ยินเสียง น.ส.สายใจคล้ายว่าจะถูกทำร้าย จึงรีบกรูไปพังประตูกุฏิเข้าไป และพบ น.ส.สายใจคลานออกจากห้องในสภาพเปลือย พร้อมตะโกนให้ตำรวจช่วย ขณะที่พระธวัชชัยอยู่ในสภาพเปลือยเช่นกัน กำลังดึงขา น.ส.สายใจกลับเข้าไปในห้อง แต่เมื่อเห็นตำรวจ พระธวัชชัยถึงกับหน้าถอดสี ซีดและเหงื่อแตก รีบวิ่งเข้าไปใส่สบง ขณะที่ น.ส.สายใจ ตำรวจให้ใส่เสื้อผ้า ควบคุมตัวพระธวัชชัยและ น.ส.สายใจไปสอบสวนที่โรงพัก ส่วนสาวใส่ชุดขาวที่นั่งวิปัสสนาต่างงุนงง สอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเมื่อทราบว่าพระธวัชชัยก่อเหตุดังกล่าว ทุกคนแสดงความตกใจพร้อมขอร้องสื่อว่าอย่าถ่ายภาพตนและรถยนต์ เพราะเกรงจะเสื่อมเสีย ซึ่งจากการตรวจสอบ ทราบว่าหญิงสาวเหล่านี้ มีทั้งเดินทางมาจาก จ.สมุทรปราการ นครนายก และ จ.นครราชสีมา บางรายเป็นบุตรของนักการเมืองระดับชาติ ที่ต่างรีบเปลี่ยนชุดขับรถหนีจากสำนักสงฆ์ออกไปทันที
เมื่อถูกนำตัวมาสอบสวนที่โรงพัก น.ส.สายใจเปิดเผยต่อหน้า พ.ต.อ.สมบัติ คงพิบูลย์ รอง ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ และ พ.ต.อ.เปรื่อง นาคะพงษ์ ผกก.สภ.อ.ละหานทราย ว่า เมื่อตนเข้าไปในห้อง พระธวัชชัยก็เข้าปลุกปล้ำถอดเสื้อผ้า และร่วมรักทันทีแต่ยังไม่เสร็จกิจ ตำรวจก็บุกเข้าช่วยก่อน ซึ่งพระธวัชชัยก็ยอมจำนนต่อหลักฐาน และให้การสารภาพว่าได้ร่วมรักและพา น.ส.สายใจไปทำแท้งจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำพระธวัชชัยไปให้พระครูนิเทศน์ ธรรมคุณ รองเจ้าคณะอำเภอละหานทรายทำการสึก และนำตัวไปสอบสวนที่โรงพัก
ในขั้นตอนการสอบสวน นายธวัชชัย ปานใจงาม หรือหลวงพ่อจุก อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 125 หมู่ 8 บ้านละหานทราย ต.ละหานทราย อ.ละหานทราย ให้การว่า ตนบวชเป็นพระตั้งแต่อายุ 19 ปี ตระเวนไปอยู่หลายวัด พร้อมทั้งศึกษาเรื่องเวทมนตร์ไสยศาสตร์จนมีผู้ศรัทธาจำนวนมาก ต่อมามีผู้บริจาคที่กว่า 50 ไร่ ให้ตั้งเป็นสำนักสงฆ์ปฏิบัติธรรม พุทธสถานนิมิตกรรม ตนเป็นเจ้าสำนักตั้งแต่ปี 2540 ถึงปัจจุบัน มีลูกศิษย์จากทั่วประเทศศรัทธามาบริจาคจนเป็นที่รู้จักมีชื่อเสียงอย่างมาก พร้อมยืนยันว่าจะยอมรับ น.ส.สายใจเป็นภรรยาอย่างถูกต้อง แต่ น.ส.สายใจปฏิเสธพร้อมบอกว่าที่ตนมาร้องทุกข์ก็เพื่อไม่ให้คนอื่นตกเป็นเหยื่อของนายธวัชชัยอีก
จากนั้นตำรวจได้ลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ส่วนทรัพย์สินภายในสำนักสงฆ์ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลนั้น คณะสงฆ์ละหานทรายให้พระอาวุโสของสำนักสงฆ์ดูแลร่วมกับคณะกรรมการชุมชน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังให้การ น.ส.สายใจกับนายธวัชชัยเดินออกจากโรงพักเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ตำรวจต้องกันชาวบ้านที่เคยศรัทธาพระธวัชชัยที่ทราบข่าวและเดินทางมาดูตะโกนด่าพระธวัชชัยอย่างรุนแรง เพราะเกรงจะเกิดเหตุร้าย