สืบสวนคดีอาญากระทำการในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบ เพื่อช่วยเหลือบุคคลหนึ่งบุคคลใดมิให้ต้องรับโทษ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 47 จำเลยที่ 1-3 และจำเลยที่ 6 ซึ่งเป็นตำรวจฝ่ายสืบสวน สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ร่วมกันฆ่านายเกียรติศักดิ์ ถิตย์บุญครอง อายุ 17 ปี ผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์จักรยานยนต์ ขณะนำตัวออกจากสภ.เมืองกาฬสินธุ์ ด้วยการบีบรัดคอจนเสียชีวิต จากนั้นจึงร่วมกันปิดบังเหตุการตายของนายเกียรติศักดิ์ โดยย้ายศพจากท้องที่เกิดเหตุไปแขวนคอไว้ที่กระท่อมนาบ้านบึงโดน หมู่ 5 ต.แสนชาติ อ.จังหาร จ.ร้อยเอ็ด โดยจำเลยที่ 4-6 ได้ร่วมกันข่มขู่พยานเพื่อให้การอันเป็นเท็จ ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษา เมื่อวันที่ 30 ก.ค.55 ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1-3 ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นฯ และย้ายศพเพื่อปิดบังสาเหตุการตาย ส่วนจำเลยที่ 6 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นฯ ขณะที่จำเลยที่ 5 ลงโทษจำคุก 7 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญากระทำการในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบฯ และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 4 ต่อมาโจทก์ โจทก์ร่วม และจำเลยยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้ว เห็นว่า คำเบิกความของพยานโจทก์รวม 4 ปาก สอดคล้องเชื่อมโยงกัน แม้จำเลยจะนำสืบอ้างว่าได้ปล่อยตัวผู้ตายไปแล้ว แต่โจทก์และโจทก์ร่วมมีพยานซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีอื่นและถูกคุมตัวอยู่ในห้องขัง สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ให้การว่า พบเห็นจำเลยที่ 1-3 พาผู้ตายออกไปจากห้องขังในช่วงเย็นวันเกิดเหตุ และไม่พบเห็นผู้ตายอีกเลย สอดคล้องกับคำเบิกความของพยานโจทก์ปากอื่นที่พบเห็นจำเลยที่ 2 พาผู้ตายขึ้นไปห้องสืบสวน
นอกจากนี้พยานปากที่เคยถูกจำเลยที่ 5 ข่มขู่เพื่อให้การเป็นประโยชน์ต่อพวกจำเลยนั้น ได้ให้การใหม่กับกองปราบและดีเอสไอว่า จำเลยที่ 1-3 พาผู้ตายออกมาจากห้องขังไปยังห้องสืบสวนบนชั้นสองของสภ.เมืองกาฬสินธุ์ ซึ่งพยานสามารถชี้ตัวยืนยันจำเลยที่ 1-3 ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ประกอบกับพยานไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงเชื่อว่า น่าจะเบิกความไปตามจริง และสอดคล้องกับที่ญาติได้รับโทรศัพท์จากผู้ตายให้มารับกลับบ้าน แต่เมื่อไปถึงกลับไม่พบผู้ตายแต่อย่างใด และเมื่อตรวจสอบข้อมูลการใช้โทรศัพท์ของจำเลยพบว่าจำเลยที่ 1-3 ได้โทรศัพท์ไปยังบ้านในบ้านหลังหนึ่งในจังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งใกล้เคียงกับจุดเกิดเหตุที่พบศพผู้ตาย และผู้ตายยังเคยเป็นสายลับให้กับจำเลยในคดียาเสพติด จึงอาจจะกุมความลับของจำเลยไว้ ส่วนจำเลยที่ 4 แม้ไม่ได้มีหน้าที่ในการทำคดีดังกล่าว แต่กลับยื่นปล่อยชั่วคราวผู้ตาย ถือเป็นการฝ่าฝืนนโยบาย และมีการหลอกลวงให้คนไปรับญาติผู้ตาย และหลอกลวงว่าผู้ตายได้รับการปล่อยตัวไปแล้ว จึงมีเจตนาร่วมกันวางแผนให้จำเลยได้รับการปล่อยตัว แต่จริงๆแล้วผู้ตายกลับไม่ได้รับการปล่อยตัวไป บ่งชี้ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1-3 วางแผนฆ่าผู้ตายโดยแบ่งหน้าที่กันทำ จึงมีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและปิดบังซ่อนเร้นสาเหตุการตาย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 4 นั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย
ขณะที่จำเลยที่ 5-6 แม้พยานโจทก์อ้างว่าเห็นจำเลยที่ 5-6 อยู่ในการสอบปากคำด้วย แต่พยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 5-6 ได้ร่วมกันวางแผนกับจำเลยที่ 1-4 ฆ่าผู้ตาย จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย แต่จำเลยที่ 5-6 มีการข่มขู่พยานเพื่อให้การเท็จช่วยเหลือจำเลยที่ 1-4 ไม่ให้ต้องได้รับโทษทางอาญา ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นเหตุที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้ตายเสียชีวิตแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1-3 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ และย้ายศพเพื่อปิดบังเหตุแห่งการตาย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิตจำเลยที่ 1-3 นั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1-3 แต่คำให้การของจำเลยที่ 2 มีประโยชน์ในการพิจารณาคดี จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 50 ปี และพิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 4 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาฯ ลงโทษประหารชีวิต แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ลดโทษ 1ใน3 คงจำคุกจำเลยที่ 4 ตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 5-6 มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญากระทำการในตำแหน่งอันเป็นการมิชอบฯ แต่ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก 7 ปีนั้น เห็นว่าหนักไป จึงพิพากษาแก้ ให้ลงโทษจำคุก จำเลยที่ 5-6 คนละ 5 ปี
ด้านนางพิกุล พรหมจันทร์ ญาติของผู้เสียชีวิต กล่าวภายหลังศาลมีคำพิพากษาว่า ตนพอใจผลคำพิพากษาทั้งในส่วนของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่ตนจะขอใช้สิทธิยื่นฎีกาในส่วนของจำเลยที่ 6 ที่ศาลอุทธรณ์ลดโทษจากตลอดชีวิตมาเหลือแค่ 5 ปี เนื่องจากเห็นว่าโทษยังน้อยเกินไป ทั้งนี้ ตนมีความกังวลในความปลอดภัยของพยาน หากศาลอนุญาตให้จำเลยทั้งหมดประกันตัว เพราะจำเลยทั้งหมดยังปฏิบัติหน้าที่ตามปกติและสามารถพกพาอาวุธติดตัวได้ตลอดเวลา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้ดังกล่าวเกิดขึ้นในปี 2547 ช่วงรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศนโยบายปราบปรามยาเสพติดอย่างเด็ดขาด ขณะเดียวกันช่วงเวลาดังกล่าวพบว่ามีผู้เสียชีวิตและหายสาบสูญใน จ.กาฬสินธุ์ อย่างต่อเนื่องที่สามารถตรวจสอบรายชื่อได้มีทั้งสิ้น 28 ราย โดยเฉพาะกรณีการฆ่าแขวนคอนายเกียรติศักดิ์ ญาติของนายเกียรติศักดิ์ได้เข้าร้องเรียนสาเหตุการเสียชีวิตต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ พนักงานสอบสวนดีเอสไอจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานจนสามารถจับกุมตัวจำเลยทั้งหกได้