นางสาวเอ เปิดเผยกับเจ้าหน้ามูลนิธิฯว่า ลูกสาวของตนเรียนอยู่ชั้นม.4 โรงเรียนแห่งหนึ่งใน ต.พระอินทร์ราชา อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา และได้คบหาเป็นแฟนกับนายบอย ได้ไม่ถึงเดือน โดยทางตนได้บอกว่า ขอให้ลูกสาวเรียนจบก่อน เพราะลูกสาวอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น กระทั่งวันเกิดเหตุ นายบอยได้ใช้กลอุบายลวงลูกสาวตนไปข่มขืนกระทำชำเราที่ห้องพักแห่งหนึ่งแถวตลาดพระอินทร์ราชา จากนั้นเวลาประมาณ 23.00 น. วันที่ 29 มิ.ย. นายบอยได้ทำร้ายร่างกายลูกสาวตน ด้วยการต่อยเข้าที่เบ้าตาและกระทืบหน้าอกและชกที่ลำตัวหลายแห่งจนฟกช้ำดำเขียว
จากนั้นได้ฉุดกระชากลากลงจากรถจยย.บริเวณกลางถนนในตลาดพระอินทร์ราชา กระทั่งลูกสาวได้หนีกลับมาที่ห้องพัก และนำเรื่องมาบอกตนเองว่าถูกนายบอยซ้อมจนตาปิดบวมเปล่งและนัยน์ตาห้อเลือด จึงพาไปหาหมอที่ รพ.ใกล้เคียง จากนั้นได้เดินทางมาแจ้งความกับ พ.ต.ต.พรนิรนทร์ เปรื่องกระโทก สารวัตรเวรสอบสวน สภ.พระอินทร์ราชา แต่ทางสารวัตรเวรพยายามให้มาพูดคุยไกล่เกลี่ยกันในวันรุ่งขึ้นอีกวัน คือ เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.
นางสาวเอ กล่าวอีกว่า ตนบอกว่าไม่ต้องการไกล่เกลี่ยกับคู่กรณี เพราะได้มาทำร้ายลูกสาวตนขนาดนี้ และจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด แต่ขณะที่คุยกับสารวัตรเวรที่โรงพักอยู่นั้น ได้มีพี่เขยของคู่กรณีที่ทำงานเป็นอาสาสมัครมูลนิธิกู้ภัยหนึ่ง อยู่ในพื้นที่จุดพระอินทร์ราชาได้พาพรรคพวกกว่า 10 คน มาที่โรงพัก และพยายามเข้าไปตีสนิทกับทางตำรวจในโรงพักประมาณว่ารู้จักกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างดี และพูดจาดูถูกเหยียดหยามตนเองและลูกสาวว่าคดีนี้สบาย แค่พรากผู้เยาว์ ประกัน 4-5 หมื่นก็ออกมาได้ และพูดจาดูถูกว่าตนเองมาแจ้งความ เพราะต้องการเงิน ซึ่งตนบอกว่าไม่ต้องการเงิน แต่ต้องการดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
ซึ่งตนกลัวว่าลูกสาวจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะลูกสาวของตนถูกทำร้ายมาแล้วถึงสองครั้ง และทางคู่กรณีมาพูดเยาะเย้ยว่าลูกสาวสมยอมเอง ทำให้ตนรู้สึกท้อใจ เพราะทางตำรวจไม่เรียกสอบสวนอย่างจริงจัง จึงตัดสินใจมาร้องขอความช่วยเหลือกับทางมูลนิธิปวีณาให้ช่วยเหลือเร่งรัดทางคดีความให้
กระทั่งทางสารวัตรเวรสอบสวนทราบข่าวว่าตนพาลูกมาร้องทุกข์ที่มูลนิธิฯ จึงโทรมาถามว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน ตนบอกว่าอยู่ที่มูลนิธิปวีณาฯ ซึ่งทางสารวัตรเวรได้เงียบไปพักหนึ่ง และตอบกลับมาว่าเรื่องของตนนั้นกำลังดำเนินการให้อยู่แล้ว เพราะจะสอบปากคำต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ จะต้องไปสอบปากคำที่ชั้นศาล ซึ่งตนก็ได้ถามกลับไปว่า ทำไมเมื่อวานนี้ไม่อธิบายให้ตนเข้าใจ และทำไมต้องไล่ตนกลับด้วย ซึ่งสารวัตรเวรก็เงียบไป
ด้านเจ้าหน้าที่รับเรื่องราวร้องทุกข์ของมูลนิธิปวีณา กล่าวว่า วันนี้นางปวีณาไม่อยู่ที่มูลนิธิฯ เบื้องต้นจะเร่งนำเรื่องเสนอให้นางปวีณาตัดสินใจอีกครั้งว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป