นายอภิรุจ สุวะดี อายุ 72 ปี และ นางวันทนีย์ สุวะดี อายุ 66 ปี บิดาและมารดาของ ท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี
เดินทางมาที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ เวลา 11.00 น. เพื่อขอให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน ปฎิเสธข้อกล่าวหาที่ น.ส.ศวิตา มณีจันทร์ อายุ 31 ปี ชาว จ.ราชบุรี แจ้งความดำเนินคดีบุคคลทั้ง 2 โดยกล่าวหาว่ามีการกลั่นแกล้งและบีบบังคับให้ลุงของ น.ส.ศวิตา แจ้งความจับ น.ส.ศวิตา ในข้อหาฉ้อโกง จนต้องติดคุกนานถึง 1 ปีครึ่ง เนื่องจากไม่พอใจที่เกิดข่าวลือว่า น.ส.ศวิตา มีสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับ นายอภิรุจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนครั้งนี้ ทั้ง นายอภิรุจ และ นางวันทนีย์ ต่างมีสีหน้าที่เคร่งเครียด
ขณะที่ญาติที่เดินทางมาให้กำลังใจก็มีอาการเศร้าซึม โดย นางวันทนีย์ ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวก่อนเข้าให้ปากคำว่า ไม่เคยรู้จักหรือเคยเห็นหน้า น.ส.ศวิตา และครอบครัวมาก่อน รวมทั้งไม่ทราบเรื่องเขาถูกแจ้งความดำเนินคดีจนต้องถูกจำคุกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งส่วนตัวแล้วจะอาศัยอยู่ในกทม.นานๆ ครั้ง จึงจะเดินทางไปอยู่ที่ จ.ราชบุรี โดยจะไปๆ มาๆ และเมื่อมาเห็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เรื่องที่ถูก น.ส.ศวิตา แจ้งความดำเนินคดี ตนและสามีก็รู้สึกตกใจ
“เราไม่รู้เรื่องจริงๆ ยืนยันได้ว่าไม่เคยกลั่นแกล้งให้เขาต้องติดคุก ดิฉันก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไร เพราะคิดว่าคนเราทำอะไรก็คงต้องรู้อยู่แก่ใจ เพราะฉันไม่เคยรู้จักกับเขา และไม่รู้จักว่าใครเป็นใครในครอบครัวเขา ขอความเป็นธรรมให้กับเราบ้าง จะให้ไปสาบานที่ไหนก็ได้ เรายอม ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหาเรื่องชู้สาว หรือเรื่องอะไรแบบนี้ แม้ว่าจะมีใครเคยมาขอพบเราที่บ้าน แต่จริงๆ แล้วเราก็ไม่คบหากับใคร ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เราอยู่อย่างสมรรถะ เราไม่เคยให้ใครที่มาเข้าพบต้องหมอบต้องคลาน ใครมาก็ทักทายกันธรรมดา จะมานั่งสูงนั่งต่ำนั้นไม่มี เสมอกันหมด เราให้เกียรติกับทุกคน” นางวันทนีย์ กล่าว
เมื่อถามว่า รู้จักกับตำรวจที่เป็นลุงของ น.ส.ศวิตา หรือไม่ นางวันทนีย์ ตอบว่า ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้า เราไม่ยุ่งกับใคร และไม่ชอบไปยุ่งกับชาวบ้านอยู่แล้ว เพราะเวลาไปยุ่งกับใครก็มักจะมีปัญหา เกิดมายังไม่เคยขึ้นโรงขึ้นศาล อายุก็ปาเข้าไป 66 แล้ว ก็เพิ่งมีนี่แหละ
ต่อข้อถามว่า ก่อนหน้านี้เคยมีใครมาขอความช่วยเหลือบ้างหรือไม่ นางวันทนีย์ กล่าวว่า เราไม่เอาเลย เพราะเราช่วยใครไม่ได้
ทุกวันนี้เราก็ไม่มีน้ำยาจะไปทำอะไรได้ เรากลัว เมื่อลูกเราอยู่อย่างนั้นแล้ว ที่ผ่านมาก็ไม่เคยช่วยเหลือใครเลย บอกตรงๆ เลย เราไม่มีน้ำยา เราเสียทุกอย่างไปหมดแล้ว อย่าทับถมเรามากนักเลย จะเอาอะไรกับเราอีก เราไม่มีน้ำตาจะร้องแล้วทุกวันนี้ อยากให้สงสาร เมตตาเราบ้าง เราไม่เคยที่จะดูหมิ่นสถาบันเบื้องสูง เรารักทุกพระองค์ แม้จะยังไง เราก็ยังรักและเทิดทูนถึงทุกวันนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รรท.ผบช.ก.) และพนักงานสอบสวนได้ใช้เวลาสอบปากคำ นายอภิรุจ และ นางวันทนีย์ เป็นเวลานานกกว่า 2 ชั่วโมง จากนั้นบุคคลทั้ง 2 จึงเดินทางขึ้นรถตู้กลับทันที
ขณะที่ พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาราชการแทน ผู้บังคับการตำรวจปราบปราม (รรท.ผบก.ป.) กล่าวว่า
การสอบปากคำในครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งระหว่างการสอบปากคำได้เชิญทนายความให้เข้าร่วมรับฟังด้วย รวมทั้งมีการบันทึกการสอบปากคำในทุกขั้นตอน และในเบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ถ่ายภาพ พิมพ์ลายนิ้วมือทำประวัติตามขั้นตอนปกติ ขณะที่ในการสอบปากคำ บุคคลทั้ง 2 ได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา โดยระบุว่าเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้น และหลังจากสอบปากคำเสร็จสิ้นทั้ง 2 สามารถเดินทางกลับได้โดยที่เจ้าหน้าที่ไม่จำเป็นต้องควบคุมตัว เพราะยังไม่มีการออกหมายเรียก และเป็นการเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนเอง ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134
พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวอีกว่า สำหรับขั้นตอนการสอบสวนดำเนินคดีหลังจากนี้ จะมีการสอบปากคำพยานเพิ่มเติมอีก 3 ปาก
โดยในวันที่ 10 กุมภาพันธ์นี้ จะเชิญตัว ด.ต.สุรินทร์ ศุกลมนัส ลุงของ น.ส.ศวิตา และทยอยเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำทั้งหมด อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ได้มีการสอบปากคำนายตำรวจท้องที่เกิดเหตุไปแล้ว 2 ราย ซึ่งให้การเป็นประโยชน์แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยในรายละเอียดได้เพราะเป็นความ ลับในสำนวนการสอบสวน ส่วนผู้ถูกกล่าวหาทั้งสอง ก็ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี โดยหนึ่งในนั้นระบุว่าเคยเห็นหน้า น.ส.ศวิตา คดีนี้เราจะทำอย่างละเอียดรอบคอบที่สุด โดยคาดว่าจะสามารถสรุปสำนวนคดีให้เสร็จสิ้นได้ภายใน 30 วัน