"เสี่ยนพพร" เปิดใจกับสื่อผ่านทางโทรศัพท์ เปรยเป็นความผิดมหันต์ที่ไปยุ่งกับคนพวกนี้
เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. นายนพพร ศุภพิพัฒน์ หรือเสี่ยนิค ประธานกรรมการบริหาร บริษัท วินด์ เอ็นเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด มหาเศรษฐีหมื่นล้านบาท เปิดใจกับหนังสือพิมพ์ข่าวสดทางโทรศัพท์ โดยไม่ยอมเปิดเผยสถานที่ ถึงกรณีที่ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับคดีจ้างวาน 3 พี่น้องตระกูลอัครพงษ์ปรีชา ไปกรรโชก ทรัพย์นายบัณฑิต โชติวิทยะกุล ให้ลดหนี้จาก 120 ล้านเหลือ 20 ล้าน และความผิดมาตรา 112 จนต้องหลบหนีออกจากประเทศไทยไปเมื่อสัปดาห์ก่อน
นายนพพรกล่าวถึงเรื่องดังกล่าวว่า ความจริงแล้วเรื่องหนี้สิน 120 ล้านนั้นตนไม่ได้ เป็นหนี้นายบัณฑิตเลย
เรื่องนี้เริ่มจากเมื่อ 10 ปีก่อน ตน นายบัณฑิต และเพื่อนร่วมกัน ทำธุรกิจ ต่อมาตนได้ยืมเงินของบริษัทไป 17 ล้านบาทเศษ จากนั้นมีการฟ้องร้องศาล แพ่งเอาผิดตนในข้อหาฉ้อโกง ยักยอกทรัพย์ กระทั่ง เมื่อเดือนเม.ย.-ก.ค.2555 ศาลฎีกาได้ไกล่เกลี่ยคดีค้างศาล ซึ่งนัดตนและโจทก์ รวมทั้งนายบัณฑิตเจรจากัน โดยก่อนหน้านี้ศาลสั่งให้ตนคืนเงิน 17 ล้านบาท ต่อมาในการไกล่เกลี่ยตนยินยอมจ่ายเพิ่มให้อีก รวมแล้ว 26 ล้านบาท
"ปรากฏว่าคู่กรณีคนอื่นก็เห็นด้วย เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องแฟร์ดี ยินดีที่จะถอนฟ้อง และมีการลงชื่อถอนฟ้องผม มีเพียงนายบัณฑิต ที่ไม่ยอมถอนฟ้อง เนื่องจากผมมีคดีความฟ้องร้องนายบัณฑิตในข้อหาเบิกความเท็จ มีการเจรจาต่อรองกันให้ผมถอนฟ้องคดีเบิกความเท็จ แต่ปรากฏว่าศาลแจ้งว่าไม่สามารถถอนคดีนี้ได้ เพราะเป็นคดีอาญา ทำได้เพียงให้ผมแถลงต่อศาลไม่ติดใจเอาความนายบัณฑิต แต่นายบัณฑิตยืนยันไม่ถอนฟ้องคดียักยอก" นายนพพรกล่าว
เผยปัญหาฟ้องร้องกับหุ้นส่วน
นายนพพรกล่าวอีกว่า จากเรื่องทั้งหมดนี้มีหลักฐานเอกสารสำคัญเป็นบันทึกข้อตกลง (ระหว่างฎีกา) ของศาลอาญากรุงเทพใต้ ระหว่าง ตนกับโจทก์อีก 2 คน เรื่องการยินยอมชดใช้เงินและการถอนฟ้อง รวมทั้งหลักฐานสำเนาเช็กเงินสดที่ตนจ่ายชดเชย 26 ล้านบาทให้กับโจทก์ แต่ก็ยังมีคดีค้างอยู่กับนายบัณฑิต เพราะ ไม่ยอมถอนฟ้องคดียักยอกทรัพย์ จนกระทั่งช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตนหันมาทำธุรกิจพลังงานลม จนเติบโตก้าวหน้าและเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศ
"ช่วงนั้นผมก็ทบทวนเรื่องคดีความเก่าๆ เห็นว่าหากยังมีมลทินติดตัวถึงแม้ว่าจะเป็นการ รอลงอาญาก็จะมีผลกระทบต่อธุรกิจและผู้ถือหุ้น ผมต้องการเคลียร์ประวัติ จึงตัดสินใจเจรจากับนายบัณฑิตอีกครั้งผ่านเพื่อนสนิท โดยเสนอเงินให้ 20 ล้าน เพื่อให้ถอนฟ้อง แต่นายบัณฑิตไม่ตอบกลับ กระทั่งช่วงนั้นนิตยสารฟอร์บส์นำเรื่องของผมไปตีพิมพ์ว่าเป็นมหาเศรษฐีของไทย มีทรัพย์สิน 2 หมื่นล้าน ปรากฏว่านายบัณฑิตติดต่อผ่านเพื่อนว่าต้องการเงิน 100 ล้านแลกกับการถอนฟ้อง" นายนพพรกล่าว
ปัดจ้างทีมอุ้มให้ขู่ลดหนี้
นายนพพรกล่าวต่อว่า ช่วงนั้นตนอยู่ที่ฝรั่งเศส จึงให้ทนายความทำข้อเสนอสุดท้าย (Final Offer) ถึงนายบัณฑิต เสนอตัวเงินเป็นทางการ 60 ล้านบาทให้นายบัณฑิตเพื่อแลกกับการถอนฟ้อง โดยระบุชัดเจนว่าจ่ายทันทีที่ตกลง 30 ล้านบาท และจ่ายอีก 30 ล้านบาททันทีที่ถอนฟ้องคดีที่ศาล แต่นายบัณฑิตไม่ยินยอม ช่วงนั้นเองตนได้พบเสธ.เจี๊ยบ ซึ่งถือเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต เป็นความไม่รอบคอบ จนเกิดเรื่องราววุ่นวายในเวลาต่อมา
"เรื่องนี้เป็นความผิดมหันต์ของผมที่ไปยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนี้ ไปเกี่ยวข้องกับ 5 คนนั่น ตอนนั้นแค่คิดว่าเสียฟอร์มที่ถูกเพื่อนคนหนึ่งมากรรโชกทรัพย์ ก็เลยบอกให้เสธ.เจี๊ยบเอาลูกพี่ไปเจรจากับนายบัณฑิต แต่ไม่ได้บอกให้ไปกรรโชกทรัพย์ลดหนี้อะไร เพราะผมไม่ได้เป็นหนี้ แต่ให้เจรจาเรื่องให้นายบัณฑิตรับข้อเสนอ 60 ล้านบาทแลกกับถอนฟ้อง แต่ไม่รู้อีท่าไหนกลับไปข่มขู่และทำร้ายกัน ที่สำคัญเรื่องกรรโชกทรัพย์ให้ลดหนี้จาก 120 ล้านเหลือ 20 ล้านนั้นไม่เป็นความจริงเลย เพราะผม ไม่ได้เป็นหนี้นายบัณฑิต" นายนพพรกล่าว
นายนพพรกล่าวด้วยว่า หลังเกิดเรื่องใหม่ๆ ตนก็เข้าไปให้การกับตำรวจ บอกเรื่องทั้งหมดว่าต้นสายปลายเหตุเป็นเช่นไร
ซึ่งตำรวจก็สอบปากคำไว้เป็นหลักฐาน และทราบว่าสอบนายบัณฑิตด้วย แต่ปรากฏว่าตนกลับกลายเป็นคนสั่งให้ไปอุ้มบังคับให้ลดหนี้ 120 ล้านเหลือ 20 ล้าน นอกจากนี้ยังโดนข้อหาแอบอ้างสถาบัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริง ทำให้ต้องหลบหนีออกนอกประเทศ เพื่อตั้งหลัก และต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเอง เนื่องจากเรื่องทั้งหมดไม่ได้เป็นไปตามที่ตนถูกกล่าวหา แต่กลับติดร่างแหไปด้วย