ย้อนรอยกลับไปเมื่อ 4 ปีก่อน...วันที่ 16 พ.ย. 2553 ณ วัดไผ่เงินโชตนาราม ย่านบางคอแหลม...ภายในวัดมีการเปิดตลาดนัดขายของตามปกติ ผู้คนต่างใช้ชีวิตปกติ เข้าไปจับจ่ายซื้อหาของกินของใช้กันอย่างคึกคัก จู่ๆหมาวัดธรรมดาตัวหนึ่ง ที่ไม่เคยอยู่ในความสนใจของใคร คาบถุงพลาสติกที่มีอะไรบางอย่างอยู่ด้านใน เข้ามาในบริเวณจุดขายสินค้า ซึ่งส่ง “กลิ่นเหม็นเน่า กระจายฟุ้งตลบอบอวล” ทำให้พ่อค้า-แม่ค้าและชาวบ้าน ต้องเอามือปิดจมูก ป้องกันความระคายเคืองที่มากระทบโพรงสูดดมหายใจ
แรกๆ หลายคนก็ตามหา “กลิ่นอันไม่พึงประสงค์” นี้ ว่ามีต้นตอจากที่ไหน กระทั่งเจอะเจอว่า...กลิ่นโชยมาจากถุงพลาสติกที่หมาวัดคาบมา และยิ่งตกตะลึงหนัก เพราะคาดไม่ถึงก็คือ วัตถุที่อยู่ในถุงพลาสติกเป็น “ซากศพทารกตัวเล็กๆ อายุในครรภ์ไม่เกิน 5 เดือน เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดที่กลายเป็นคราบสีดำทั่วถุง” สภาพเหมือนเสียชีวิตมานานแล้ว และเมื่อติดตาม “เจ้าตูบ” มายัง “ต้นทางของกลิ่น” ซึ่งมาหยุดที่ “โกดังเก็บศพช่องที่ 17” ของวัด เมื่อมีผู้เอื้อมมือไปเปิด สิ่งไม่คาดฝันก็คือถุงพลาสติกสีแดงสีน้ำเงินกองพะเนินที่ทับถมกันอยู่ ได้ทลายจนล้นออกมา
หลังตั้งสติได้ จึงค่อยๆ แง้มแต่ละถุงออกดู ก่อนพบความบัดซบที่ฟอนเฟะอยู่ภายใน นั่นคือ “ซากศพทารก” ที่มีอวัยวะครบบ้าง ไม่ครบบ้าง บางถุงมีแค่ก้อนเนื้อ ก้อนเลือด กะโหลกศีรษะ รวมนับได้ถึง 348 ศพ จนกลายเป็นที่มาในการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.วัดพระยาไกร มาตรวจสอบ
หลังเป็นข่าวใหญ่ ทั้งสื่อโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ ชนิดที่กลบข่าวอื่นหมด...ตำรวจได้ควบคุมตัวสัปเหร่อของวัดคือ “สุชาติ ภูมี” อายุ 39 ปี (ขณะนั้น) และ “สุเทพ ชะบางบอน” วัย 47 ปี (ขณะนั้น) ฐานเป็นผู้นำถุงในศพทั้งหมดมาโยนทิ้งไว้ในช่องเก็บศพ โดยยอมรับว่า “มีหน้าที่นำศพทารกมายัดไว้ที่โกดังมานานนับปีแล้ว พอรวบรวมได้เยอะ ค่อยนำไปเผา แต่เนื่องจากตอนหลังเมรุเผาของวัดเสีย ไม่สามารถใช้งานได้ ด้วยความชะล่าใจจึงโยนถุงศพใส่ช่องไว้เรื่อยมา พร้อมกับรับค่าจ้างแค่ 200-300 บาท แถมทุกถุงมาจากคลินิกรับทำแท้งเถื่อน มีในพื้นที่บ้าง นอกพื้นที่บ้าง กระทั่งเรื่องมาแดงเพราะหมา...ในที่สุด”
สองสัปเหร่อยังซัดทอดไปถึง “น.ส.ลัญฉกร จันทมนัส” อายุ 33 ปี (ขณะนั้น) ฐานเป็นผู้รับทำแท้งเถื่อนที่มีชื่อเสียงในวงการใต้ดิน ซึ่งเจ้าตัวก็จำนวนด้วยหลักฐาน รับสารภาพว่า..."หนูเคยทำงานเป็นผู้ช่วยหมอที่รับทำแท้งเถื่อนมานาน ศึกษาเรียนรู้แบบครูพักลักจำจนมีความช่ำชอง ก่อนเอาวิชาร้อนมาแอบเปิดคลินิกทำแท้งซะเอง ลูกค้าส่วนใหญ่ถ้าจะให้เดา คงเดาถูก ทั้งเด็กสาววัยรุ่ยใจแตก นักศึกษาชิงสุกก่อนห่าม และพวกลักกินขโมยกิน ไม่เว้นแม้แต่ดารานักแสดงก็ยังมี"
ข่าวไม่จบเพียงเท่านี้...แต่บานปลายกลายเป็นกระแส “ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์” หลายฝ่ายให้ควานสนใจและติดตามความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด แต่สิ่งที่เหลือเชื่อกว่านั้นก็คือ “สัปเหร่อ” ยังสารภาพเพิ่มเติมอีกว่า "ซากศพทารกที่เก็บไว้ ไม่ได้มีแค่ช่องหมายเลข 17 เพียงช่องเดียว แต่ยังมีช่องหมายเลข “9” และ “10” อีก"
เมื่อเจ้าหน้าที่...กลับไปเปิดดูที่ช่องเก็บศพภายในวัดไผ่เงินเป็นคำรบสอง เพียงแง้มประตูเท่านั้น “คลื่นซากศพทารก” ที่แออัดยัดเยียดจนแน่นก็ถล่มลงมา เสมือนวิญญาณหนูน้อยเป็นพันๆ ชีวิต รับรู้ถึงอิสรภาพแห่งการปลดปล่อย สุดท้ายผลสรุปรวมที่นับได้...อยู่ที่จำนวนอันมหาศาลเกินคาดคิด "2002 ศพ" ซึ่งหมายถึง “2002 ชีวิต 2002 ดวงวิญญาณ” ที่แม้แต่จะได้ลืมตาดูโลก ยังไม่มีโอกาส นักข่าวจากต่างประเทศแห่แหนกันมารายงานข่าวที่ไม่น่าเชื่อนี้ ขณะที่ทางวัดต้องทำบุญครั้งใหญ่เพื่อส่งดวงวิญญาณหนูน้อยไปสู่สุขคติ และตั้งเป้ารื้อถอน ทุบทิ้งโกดังเก็บศพนี้ทั้งหมด ภาพความสะเทือนใจจึงได้จางหายไป
ผ่านไปไวเหมือนโกหก...บัดนี้เหตุการณ์ใกล้จะครบ 4 ปีบริบูรณ์ "เดลินิวส์ออนไลน์" ได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบสถานภาพล่าสุดในปัจจุบันของวัดไผ่เงิน ว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด กระทั่งพบว่า โกดังเก็บศพยังคงตั้งอยู่ที่เก่า “ไม่ได้มีการทุบทิ้งหรือรื้อถอนแต่อย่างใด” แต่ดูสะอาดและมีกลิ่นเหม็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งได้รับการยืนยันว่า “โกดังได้ปิดตาย ไม่ใช้งานแล้ว” แต่ที่ผิดแผกไปจากวันวานคือ ศาลาด้านข้างใกล้เคียงโกดัง “ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นสถานที่ถวายสังฆทานให้กับวิญญาณทารกในอดีตแทน”
สัปเหร่อวัดไผ่เงินคนหนึ่ง เล่าถึงเรื่องราวที่ผ่านมาว่า “ช่วงที่เกิดเหตุแรกๆ อย่าว่าแต่เจ้าอาวาสหรือพระลูกวัดเลย บรรดาสัปเหร่อ รวมทั้งลูกเมีย ต่างตกใจและกดดันจากข่าวที่ครึกโครม ไปไหนเจอใครก็มีแต่ถามถึง เรียกว่าวุ่นกันทั้งวัดเลยก็ว่าได้ ต้องใช้เวลาเป็นปีถึงจะกลับมาเป็นปกติ ส่วนโกดังเก็บศพต้นเรื่องนั้น คงทุบทิ้งรือถอนไม่ได้ เพราะเป็นสถานที่ที่ผู้มีจิตศรัทธาสร้างไว้ให้ วัตถุประสงค์เพื่อใช้เก็บศพของพ่อแม่พี่น้องครอบครัวเขา ไม่ใช่ของวัดโดยตรง ตอนนี้หลังเวลาผ่านไป ก็ถูกปิดตายและไม่ได้ใช้งาน ญาติโยมที่มาซื้อสังฆทานถวาย ก็จะนำเสื้อผ้า ตุ๊กตา มาให้วิญญาณทารกด้วย จึงไม่แปลกที่จะเห็นของเหล่านี้วางเต็มไปหมด”
อย่างไรก็ตาม ทางวัดได้เปลี่ยนศาลาข้างๆ เป็นสถานที่ทำบุญ สำหรับประชาชนที่ต้องการจะถวายสังฆทานส่งดวงวิญญาณทารกทั้ง 2002 ศพ ไปสู่สรวงสวรรค์ ซึ่งที่ผ่านมาได้รบความนิยมมากกว่าศาลาอื่น อาจด้วยอานิสงส์จากข่าวคราว ทำให้มีคนอยากเห็นสถานที่จริง ต่อเนื่องด้วยการทำบุญให้ ซึ่งต่อไปนี้แม้ว่าโกดังจะยังมีอยู่ แต่สัปเหร่อที่อาศัยอยู่ในวัดทุกคน “สัญญา” ว่า จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับวงจรอุบาศก์บัดซบที่บาปกรรมนี้เด็ดขาด และเชื่อว่าข่าวลือเรื่องอาถรรพณ์ต่างๆ คงจางหายไปตามกาลเวลา
แม้เหตุการณ์จะเงียบหายไป แต่ความทรงจำ “สลดปนเศร้าเคล้าสงสาร” ยังคงคุกรุ่นอยู่ในจิตใจคนไทยตลอดมา อีกทั้งเรื่องแบบนี้ยังมีอยู่ตามสังคมมืดที่ใดสักแห่ง เพียงรอวันถูกเปิดเผยความจริงขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ถือเป็นบทเรียนที่ดีกับ “หนุ่มสาววัยหักเห” ที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตว่า...ก่อนคิดจะทำอะไรเพียงเพราะ “ความสนุก” ควรตั้งสติให้ดี
เพราะเสียงสะอึกสะอื้นอันแผ่วเบาของดวงวิญญาณที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องขอชีวิต จะดังออกมาและตราตรึงในโสตประสาท...อย่างไม่มีวันจางหายไป