ชี้คดีอุ้มบุญส่งกลิ่นทะแม่งคล้ายผลิตเด็กเพื่อการค้า

เมื่อวันที่ 12 ส.ค. ที่ห้องประชุม 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร. เป็นประธาน การประชุมคณะทำงานคดีอุ้มบุญ

โดยมี พล.ต.ท.ก่อเกียรติ วงศ์วรชาติ ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.นพ.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ต.วิชัย รัตนยศ รองผบช. สำนักงานกฎหมายและคดี (กมค. ตร.) พล.ต.ต.ชยุต ธนทวีรัชต์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.กิตติศักดิ์ดุรงควิบูลย์ ผบก.กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) ,ตัวแทนจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) กองบังคับการตำรวจนครบาล4 (บก.น.4) สถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าวกองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี (กก.ดส.)ร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับคดี และวางแนวทางสืบสวน พร้อมวางมาตรการป้องกันเหตุดังกล่าว ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงจึงแล้วเสร็จ

พล.ต.อ.เอก กล่าวว่า ตนได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ก่อเกียรตฺ และ พล.ต.ท.จงเจตน์ รับผิดชอบด้านการสืบสวนหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว

ซึ่งได้รับรายงานจาก ตม. ว่า มีการพาเด็ก 4 คน ออกไปนอกประเทศ 3 ครั้ง โดยเด็กแต่ละคนถือหนังสือเดินทางของประเทศไทย โดยพล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ รรท.ผบ.ตร.ได้เน้นย้ำให้ดูแลเด็กทารกทั้ง 9 คนให้ปลอดภัย ช่วยเหลือดูแลทารกที่เกิดจากการอุ้มบุญและมีมาตรการทางกฎหมายเพื่อเข้ามาดูแลศีลธรรมและจรรยาบรรณต่าง ๆ

โดยหากพบบุคคลที่เกี่ยวข้องทำผิดกฎหมายจะดำเนินการทันที ทั้งนี้จากการ ตรวจสอบเอกลักษณ์บุคคล

พบว่า เด็กทั้ง 9 คนเกิดจากพ่อคนเดียวกัน แต่ยังระบุไม่ได้ว่าเป็น นายชิเกตะ มิตซูโตกิ หรือไม่เนื่องจากต้องนำตัวนายชิเกตะ มาตรวจเอกลักษณ์เทียบกับเด็กทั้ง 9 คนอีกครั้ง ส่วนเด็กอีก 6 คนยังไม่ได้รับการตรวจเอกลักษณ์บุคคลแต่มีสูติบัตรยืนยันว่า นายชิเกตะ เป็นพ่อเด็ก เจ้าหน้าที่ได้พยายามประสาน ให้นายชิเกตะ มาตรวจเอกลักษณ์บุคคลเทียบกับเด็กว่า เป็นพ่อลูกกันจริงหรือไม่ ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการประสานกับทางการประเทศญี่ปุ่น กัมพูชา และอินเดียที่มีรายงานว่า นายชิเกตะ ได้เดินทางไป และล่าสุดก็มีรายงานว่า นายชิเกตะได้เดินทางเข้าไปที่มาเก๊า ซึ่งทางเรากำลังประสานไปอีกด้วย

พล.ต.อ.เอก กล่าวอีกว่า ด้านการดำเนินคดีนั้น เบื้องต้นยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาใดกับนายชิเกตะ

แต่ได้มีการดำเนินคดีกับการเปิดคลินิกรับทำอุ้มบุญ รวมทั้งแพทย์ผู้ที่รับทำอุ้มบุญด้วย นอกจากนี้ ตำรวจจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเพื่อไม่ให้เกิดช่องโหว่ในข้อกฎหมายเพื่อนำไปใช้กระทำความผิด พร้อมยืนยันว่าตำรวจจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้ทราบถึงข้อเท็จจริงให้ได้ต่อไป ด้านพล.ต.ท.นพ.จงเจตน์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการอุ้มบุญ แต่เป็นการผลิตเด็กจำนวนมาก เพื่อนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ใด วัตถุประสงค์หนึ่ง ซึ่งคงต้องสืบสวนให้แน่ชัดก่อน ทั้งๆที่ตัวชาวญี่ปุ่นรายนี้ก็ยังอายุไม่มาก จะเกี่ยวข้องกับขบวนการการค้ามนุษย์หรือไม่ ด้านพล.ต.ต.ชยุต กล่าวว่า กรณีที่มีกระแสข่าวว่านายรัฐประธาน ตุลาธร ทนายความและผู้ดูแลทางกฎหมายของเด็กอุ้มบุญทั้ง 9 คนได้ถอนตัวจากคดีแล้วนั้น เป็นสิทธิส่วนบุคคล สามารถกระทำได้หากเจ้าตัวต้องการไม่มีผลต่อรูปคดี สามารถกระทำได้หากเจ้าตัวต้องการ แต่ตนอยากให้นายรัฐประทาน ประสานให้นายชิเกตะ แสดงความบริสุทธิ์ใจ ด้วยการเดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย เพื่อให้ข้อมูลและตรวจเอกลักษณ์บุคคล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะทำงานที่ดูแลเรื่องคดีเตรียมสรุปเพื่อเปลี่ยนจากคดีอุ้มบุญเป็นขบวนการผลิตเด็กเพื่อการค้า

และจากการสรุปข้อมูลพบว่าหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าค้น เดอะนีสคอนโด เมื่อวันที่ 5ส.ค. พบพี่เลี้ยงเด็ก 9 คนในจำนวนนี้มีหญิงท้อง 1 คนพร้อมเด็ก 9 คนหลังตรวจสอบมีนายชิเกตะ เป็นตัวเมนของเรื่องเป็นพ่อของเด็กถึง 15 คนและ พบการเข้าออกประเทศไทยหลายครั้งตั้งแต่ปี 2554-2557 และพบนำเด็กออกจากไทย 4คนก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำหมายค้นเข้าค้นคลีนิคที่รับฉีดตัวอ่อนย่านเพลินจิต ล่าสุดพบมีหญิงสาวนามสกุลเดียวกันเดินทางเข้าไทยพร้อมกันเมื่อวันที่ 1 ส.ค. แต่เดินทางออกไปกรุงพนมเปญเมื่อวันที่ 5 ส.ค. ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าค้นคอนโดนอกจากนั้นยังพบว่ามีโรงพยาบาลที่มาพัวพันในเรื่องดังกล่าว 10 แห่ง มีเด็กอีก 1 คน แม่อุ้มบุญนำไปเลี้ยงอยู่ซึ่งข้อมูลทั้งหมดเป็นเหตุผลที่ทีมกฎหมายจะเสนอให้เป็นการดำเนินคดีขบวนการ”ผลิตเด็กเพื่อการค้า”.