จากกรณีตำรวจ สภ.ภูพิงค์ จ.เชียงใหม่ พบศพ น.ส.เบญจภรณ์ ผ่องผิว หรือแอน อายุ 27 ปี ถูกฆ่าอย่างทารุณ
โดยคนร้ายได้นำศพมัดติดไว้กับต้นกระถินบริเวณถนนด้านหลังปั๊มน้ำมัน ปตท. ภายในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2548 ซึ่งต่อมาตำรวจได้จับกุม นายวุฒิชัย ใจสมัคร อายุ 38 ปี เพื่อนชายคนสนิทของผู้ตาย ในข้อหา ฆ่าคนโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ต่อมาศาลชั้นต้น และศาลอุธรณ์ ได้ตัดสินคดีลงโทษจำคุกตลอดชีวิต นายวุฒิชัย แต่ในชั้นศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากวัตถุพยาน คือ เนื้อเยื่อของคนร้ายในซอกเล็บของผู้ตาย มีดีเอ็นเอไม่ตรงกับ นายวุฒิชัย และไม่มีประจักษ์พยานเห็นว่า นายวุฒิชัย ลงมือฆ่าผู้ตาย ตามที่ได้เคยเสนอข่าวไปแล้ว
ความคืบหน้าในเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 23 ก.ค. พล.ต.ต.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์รอง ผบช.ภ.5
พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประจวบ วงค์สุข ผบก.สส.ภ.5 และ พ.ต.อ.วีระวุฒิ เนียมน้อย รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ได้เรียกประชุมชุดสืบสวนภาค 5 ชุดสืบสวน ภ.จว.เชียงใหม่ และชุดสืบสวนท้องที่ สภ.ภูพิงค์ รวมกว่า 30 นาย มาร่วมประชุมหารือในคดีนี้อีกครั้ง ที่ห้องประชุมชั้น 3 กองบังคับการศูนย์สืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 โดยในที่ประชุมได้มีการแบ่งสายการทำงานของชุดสืบสวนต่างๆ ตั้งแต่การสอบปากคำพยานแวดล้อมเพิ่มเติม ทั้งเพื่อนผู้ตาย ผู้เห็นเหตุการณ์ ก่อนและหลังที่เกิดเหตุ รวมถึงการตามล่าตัวบุคคลที่นำโทรศัพท์มือถือของผู้ตายไปขาย และการหาพยานเพิ่มเติมต่างๆ
ด้าน พล.ต.ต.ธนิตศักดิ์ รอง ผบช.ภ.5 กล่าวว่า ทางพล.ต.ท.วันชัย ถนัดกิจ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รักษาราชการ ผบช.ภ.5
ได้มีคำสั่งให้ชุดสืบสวนภาค 5 จัดชุดทำงานเข้ามาสืบสวนสอบสวนคดีนี้ใหม่อีกครั้ง หลังจากศาลฎีกามีคำสั่งยกฟ้อง นายวุฒิชัย โดยมอบหมายให้ พล.ต.ต.ประจวบ วงศ์สุข ผบก.สส.ภ.5 เป็นหัวหน้าคณะทีมสืบสวนสอบสวน โดยหลังจากนี้ทีมงานที่ตั้งขึ้นมาใหม่จะเร่งสืบสวนสอบสวนพาประจักษ์พยาน ใหม่ๆนอกเหนือจากเดิมมาดำเนินการ หากบ่งชี้ไปที่ใครก็จะดำเนินการตามกฎหมายทันที โดยประเด็นการสังหารยังมุ่งไปที่ปมชู้สาว ชิงทรัพย์ และแค้นส่วนตัว
รอง ผบช.ภ.5 กล่าวอีกว่า ตอนนี้มีทีมทำงานชุดหนึ่งที่ออกล่าบุคคลตามภาพสเก็ตช์
ซึ่งเป็นตัวสำคัญในคดีที่นำโทรศัพท์มือถือของผู้ตายไปขายที่ร้านรับจำนำมือ ถือ โดยมีกล้องวงจรปิดจับภาพได้ รวมถึงการรวมรวมพยานบุคคลใหม่ทั้งก่อนและหลังจากที่เกิดเหตุ ส่วนบุคคลสำคัญอีกคนในคดีที่หลังเกิดเหตุได้ไปทำงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และไม่กลับมาประเทศไทยอีก หากเรามีหลักฐานหรือพยานที่สาวไปถึงตัว ก็จะประสานกับสถานทูตให้ส่งตัวกลับมา เพราะเชื่อว่าจะเป็นกุญแจสำคัญในคดีนี้ และจะมีการประชุมชุดใหญ่ ทั้งหน่วยนิติวิทยาศาสตร์ นิติเวช และหมอ รวมถึงทีมสืบสวนทั้งหมดในเดือนหน้า เพื่อหารือแนวทางการทำงานร่วมกัน โดยเชื่อว่าจะสามารถได้ตัวคนร้ายที่แท้จริงในไม่ช้า ส่วนที่ว่าคดีนี้เหตุเกิดมาเนิ่นนานถึง 9 ปีแล้ว ก็เชื่อว่าจะไม่มีผลต่อรูปคดี เพราะเรามีการเก็บหลักฐานทุกอย่างไว้อย่างดี.