ข่าวสุดสะเทือนใจของน้องแก้ม ด.ญ.วัย 13 ปี หายตัวไป ขณะที่เดินทางมาจาก จ.สุราษฏร์ธานี มุ่งหน้า กรุงเทพมหานคร ซึ่งโดยสารมากับขบวนรถไฟ (ตู้นอนที่3) เที่ยวที่ 174 เมื่อวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา นั้น ซึ่งต่อมานายวันชัย แสงขาว อายุ 22 ปี พนักงานปูเตียงที่ได้รับสารภาพว่าได้ข่มขืนน้องแก้ม และโยนร่างของน้องแก้มลงจากขบวนรถไฟ
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ชาวสังคมออนไลน์ตั้งประเด็นเกี่ยวกับการเพิ่มโทษคดีฆ่าข่มขืน โดยหลายฝ่ายอยากให้โทษของคดีนี้ รุนแรงถึงขั้นประหารชีวิต ซึ่งหากย้อนไปดูแฟ้มคดีเกี่ยวกับการข่มขืนในประเทศไทย รายที่โดนประหารชีวิตแบบยิงเป้า คงจะหนีไม่พ้นคดีของ นายพันธุ์ สายทองและนายเดชา สุวรรณสุก เรื่องราวคดีสุดสะเทือนขวัญ 2 คดีติดต่อกันเมื่อปี 2539 นักโทษคดีข่มขืนประหารชีวิต
ลองย้อนไปดูกันว่าเหตุการครั้งนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ใช้เวลามากน้อนแค่ไหนกว่าศาลจะตัดสินคดีถึงที่สุด
ย้อนรอย ‘พันธุ์-เดชา’ นักโทษข่มขืน2รายสุดท้ายที่ถูกประหารชีวิต
คดีข่มขื่นและฆ่าน้องอ้อมสุพรรษา ผู้ต้องหา นายพันธุ์ สายทอง
พันธุ์ สายทอง เป็นฆาตกรที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญที่สุดแห่งปี 2539 เขาบุกเข้าไปโรงเรียรนวัดรวกบางบำหรุ ซอยจรัญสนิทวงศ์ 57 เแขวงบางบำหรุ เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ฉุด เด็กหญิงสุพรรณษ หรือน้องอ้อม ที่กำลังเดินมาเข้าห้องน้ำของโรงเรียน ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังในที่ลับตา เข้าไปขื่นใจและฆ่าปิดปากด้วยการบีบคอและจับหัวกดกับน้ำจนขาดใจตาย
แต่เพียงวันเดียวตำรวจก็ตามจับกุมฆาตกรคนนี้ได้อย่างไม่คาดฝัน เพราะไอ้พันธุ์ถูกตำรวจในท้องที่จับได้ไว้ในคดีซ่องโจร และเมื่อมีข่าวพบศพน้องอ้อมเผยแพร่ไปตามสื่อทุกแขนง ทำให้ตำรวจควบคุมไอ้พันธุ์ไปสอบถามชื่อแซ่ ก็พบว่าเขาเป็นผู้ต้องสงสัยคดีน้องอ้อม เรื่องก็เลยเป็นข่าวใหญ่โตในเวลาต่อมา
5 กรกฎาคม 1996 วันนั้น เป็นเวลา เวลาบ่ายโมงตรง นักเรียนโรงเรียนวัดรวกบางบำหรุพบศพน้องอ้อมนักเรียนชั้นอนุบาล 1/1 ในสภาพเปลือยนั่งพิงผนังห้องน้ำที่แยกออกไปจากตัวอาคารเรียนไม่ไกลนัก จากการตรวจสอบสภาพร่างกายพบว่า เด็กเคราะห์ร้ายถูกบีบคอจนเขียวช้ำ อวัยวะเพศมีร่องรอยถูกข่มขืนจนฉีกขาดและมีเลือดไหลอยู่ตลอดเวลา จากสภาพแวดล้อมที่เกิดเหตุชุดสืบสวนสันนิษฐานว่า เด็กเคราะห์ร้ายดิ้นรนทุรนทุรายก่อนเสียชีวิต เนื่องจากรองเท้ากระเด็นไปคนละทิศคนละทาง และเชื่อว่าคนร้ายน่าจะจับเด็กกดน้ำด้วย
ลำพังเด็กหญิงวัย 4-5 ปีถูกขืนใจก็สลดพออยู่แล้ว แต่นี่กลับเกิดขึ้นภายในโรงเรียน ซึ่งต่อมากลายเป็นประเด็นแก่ผู้ปกครองออกมาร้องถามว่า "โรงเรียนกลายเป็นสถานที่ที่ไม่ปลอดภัยแล้วหรือ"
หลังเกิดเหตุมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่เดินทางมาจำนวนมาก พล.ต.ต.ธวัชชัย พรหมประสิทธิ์ ผบก.น.ธนฯ(ในขณะนั้น) ได้สั่งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสืบหาหลักฐานในที่เกิดเหตุ รวมถึงสอบปากคำพยานในที่เกิดเหตุ ตั้งแต่ผู้ที่พบศพคนแรก ผู้อำนวยการโรงเรียน รวมถึงแม่ครัวของโรงเรียนอย่างเร่งด่วน เพราะเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญอย่างยิ่ง ห้องน้ำที่เกิดเหตุนั้นเป็นที่มีจุดอับมาก เพราะนอกจากจะตั้งอยู่หลังโรงเรียนแล้ว ยังมีการสร้างกำแพงปูนสูงท่วมหัวเป็นลักษณะบังสายตาจากบุคคลภายนอก มันจึงกลายเป็นจุดอันตรายมาก เพราะไม่ว่าห้องน้ำจะเกิดอะไรขึ้น คนนอกจะไม่มีทางรู้ได้เลย
จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผู้ว่ากรุงเทพฯ ในปีนั้น สั่งให้ตรวจสอบโรงเรียนในเขตรับผิดชอยทั้งหมด หากมีห้องน้ำลักษณะแบบนี้ให้ทุบทิ้ง เพื่อป้องกันเหตุแบบนี้เกิดขึ้นในอนาคต เข้าทำนองวัวหายแล้วล้อมคอก
ในส่วนคดีตำรวจได้พบผู้ต้องสงสัยอย่างรวดเร็วผลการสืบสวนสอบสวนได้ เบาะแสผู้ต้องสงสัยคือ "พันธ์ สายทอง" อายุประมาณ 30 ปี เป็นคนพื้นเพในวัดบางบำหรุ มีประวัติพัวพันยาเสพติดและที่สำคัญเพิ่งพ้นโทษออกมาได้เพียง 7 วันเท่านั้น โดยมีพยานหลายคนพบเห็นนายพันธ์ท่าทางมีพิรุธป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้โรงเรียนก่อน เกิดเหตุและเขาก็มีบ้านพักอยู่ใกล้โรงเรียน
ชาวบ้านหลายคนที่อยู่ใกล้โรงเรียนเกิดเหตุให้การตรงกันว่าก่อนพบศพ น้องอ้อม ได้พันธ์เข้ามาในโรงเรียนเพื่อหาพี่สาว ซึ่งเป็นภรรยาภารโรงและพักอยู่ในโรงเรียน โดยพี่สาวนายพันธ์ให้การว่าน้องชายมาหาจริงและขอเงิน 50 บาทจากนั้นก็กลับไป พยานที่เป็นชาวบ้านละแวกโรงเรียนระบุอีกว่า เห็นไอ้พันปีนออกจากโรงเรียนทางด้านหลังในจุดที่อยู่ใกล้ห้องน้ำที่พบศพน้อง อ้อม จากนั้นก็เข้าไปภายในวัดรวกฯ ซึ่งอยู่ใกล้กัน ท่าทางลุกลี้ลุกลนก่อนที่จะหายตัวไป
นายบรรหาร ศิลปะอาชา นายกรัฐมนตรี(ในขณะนั้น) ถึงกับเอ่ยปากคดีนี้เลยว่า ต้องเร่งจับกุมคนร้ายให้เร็วที่สุดและก็เร็วสมใจ เพราะเพียงวันเดียวเท่านั้นที่ไอ้พันธ์ก็ถูกตำรวจจับ แต่เป็นการจับกุมที่ประหลาดไม่น้อย เพราะคนที่จับเป็นตำรวจอีกท้องที่หนึ่ง ซึ่งไม่เกี่ยวกับคดีน้องอ้อมแม้แต่น้อยและ ไอ้พันธุ์ก็โดนจับอีกคดีหนึ่งด้วย คือไอ้พันธุ์โดนจับด้วยคดีเล็กๆ คดีหนึ่ง ที่ในคืนที่ผ่านมาในขณะที่ตำรวจนายหนึ่งโดนออกตรวจพื้นที่อยู่นั้นก็พบไอ้ พันธ์กับกลุ่มวัยรุ่นอีก 4-5 คนภายในตรอกบ้านพานถม เขตพระนคร กรุงเทพฯ
เมื่อกลุ่มวัยรุ่นเห็นตำรวจนายดังกล่าว ก็วิ่งหนีไปคนละทิศละทาง เจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับมาได้คนเดียวคือไอ้พันธ์นั่นเอง จึงนำเขามาคุมขัง ในข้อหาซ่องโจร ไอ้พันธ์ถูกคุมตัวอยู่ตลอดทั้งวันโดยไม่มีใครทราบความจริงว่าคือคนร้ายที่ ตำรวจฝั่งธนฯ กำลังตามล่าอย่างหนักจนค่ำสิบเวรฯ เฝ้าห้องขังซึ่งอ่านข่าวและดูข่าว พบข่าวตำรวจกำลังตามล่านายพันธ์ สายทอง ผู้ต้องสงสัยคดีข่มขื่นน้องอ้อมก็รู้สึกเอะใจ พร้อมหันไปมองบนกระดานรายชื่อผู้ต้องขัง ในนั้นมีชื่อนายพันธ์ สายทองติดอยู่
สิบเวรฯ รีบแจ้งผู้บังคับบัญชาทันที ก่อนเบิกตัวไอ้พันธ์มาสอบปากคำ โดยถามชื่อ นามสกุล ที่อยู่ ทุกอย่างชัดเจน จึงรีบประสานกับตำรวจ สน.บางพลัด ให้พาพยานมาดูตัวทันที ตำรวจท้องที่คุมตัวไอ้พันธ์สอบปากคำอย่างเคร่งเครียดและตรวจร่างกาย พบรอยข่วนเล็กๆ หลายแห่งบนบริเวณแขนและหลัง รวมทั้งพยานที่เห็นเหตุการณ์ ในที่สุดไอ้พันธ์ก็ยอมรับสารภาพว่าได้ก่อเหตุข่มขืนฆ่าน้องอ้อมจริง
ไอ้พันธ์ให้การว่า วันเกิดเหตุมาหาพี่สาวเพื่อขอยืมเงินไปซื้อยาเสพติด(เวลานั้นยาบ้าระบาดมาก) ขากลับแวะเข้าห้องน้ำแล้วก็เจอน้องอ้อมกำลังเข้าห้องน้ำอยู่พอดี จึงลากเข้าไปข่มขืนแต่เด็กต่อสู้และพยายามหนี จึงบีบคอและจับกดน้ำแน่นิ่งไป จากนั้นจึงลงมือข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ ก่อนที่จะหลบหนีโดยไม่ทราบว่าเด็กเสียชีวิตแล้ว พยานหลักฐานทุกอย่างแน่นหนา ไอ้พันธ์ต้องก้มหน้ากลัวตายอมรับสารภาพอย่างจำนน
เนื่องจากคดีนี้เป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไป ตำรวจจึงเร่งเป็นพิเศษ และสามารถสรุปสำนวนส่งให้อัยการพิจารณาสั่งฟ้องในวันที่ 16 กรกฎาคม 2539 คดีนี้กลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ของไทยในกระบวนยุติธรรม เพราะศาลใช้เวลาสอบพยานเพียงวันเดียว และนัดอ่านคำตัดสินในวันรุ่งขึ้นทันที
วันที่ 18 กรกฎาคม ศาลอาญาธนบุรี มีคำพิพากษาให้ประหารชีวิตไอ้พันธ์โดยไม่มีการลดหย่อนโทษ เพราะเป็นบุคคลอันตรายต่อสังคม และเคยก่อเหตุถูกจับกุม 9 ครั้งจึงไม่มีเหตุผลพอที่จะลดหย่อนโทษเพื่อให้โอกาสกลับตัวเป็นคนดีแต่อย่าง ใด
ทางด้านไอ้พันธ์ก็พยายามยื่นอุทธรณ์ขอลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต โดยยกเรื่องให้การรับสารภาพมาเป็นประโยชน์ในการลดหย่อนโทษ ศาลอุทธรณ์ใช้เวลา 4 เดือนเศษ มีคำพิพากษายืนให้ประหารชีวิตโดยไม่ลดหย่อนโทษ ไอ้พันธ์ดิ้นรนอีกเฮือกสู้ถึงศาลฏีกาแต่ไม่เป็นผล ศาลฏีกายืนยันให้มีการประหารชีวิตโดยไม่ลดหย่อน
อย่างไรก็ตามฆาตกรโหดก็ไม่ยอมลดความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เลยตัดสินใจถวายฎีกาขอรับพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งเป็นทางออกสุดท้ายของนักโทษประหาร แต่ก็ไร้ผลอีก เพราะไอ้พันธ์เคยได้รับพระราชทานอภัยโทษออกมาแล้ว แต่ไม่นานก็กระทำผิดอีก แสดงว่าไอ้พันธ์ไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ไม่กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี
วันที่ 21 มิถุนายน 2542 ก่อนถูกตัดสินนายพันธ์ยังคงมีอาการเป็นปกติ กระทั่งรู้ตัวว่าต้องโทษประหารก็ถึงกับเข่าอ่อนมือไม้ไม่มีเรี่ยวแรง เขากำลังจะถูกประหารพร้อมเพื่อนเขาอีกคนที่โดนข้อหาฆ่าเจ้าอาวาสมรณภาพเมื่อ ปี 2537 นับเป็นนักโทษประหารรายที่ 2 และ 3 ของปี
คดีข่มขืนและฆ่าน้องนุ่น สุกัญญา ผู้ต้องหา นายเดชา สุวรรณสุก
วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ.2539 เวลา 09.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.มีนบุรี ได้รับแจ้งเหตุพบศพเด็กหญิงนอนเสียชีวิต ที่บ้านพักคนงานของบริษัทเท็กซ์โก้ อินเตอร์เนชั่นแนล เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานทำไม้แปรรูป ตั้งอยู่ที่ถนนสุรินทวงศ์ แขวงและเขตมีนบุรี กรุงเทพฯ จึงรีบไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงพบศพด.ญ.สุกัญญา สุวรรณสุก หรือน้องนุ่น อายุ 4 ขวบ นอนเสียชีวิตอยู่ภายในห้องพักไม่มีเลขที่ของโรงงานดังกล่าว สภาพศพนอนหนุนหมอนอยู่ในห้อง ใบหน้าและลำตัวเขียวฟกช้ำ สวมชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีน้ำเงิน กางเกงขาสั้นสีแดงลายดอก ตามลำตัวไม่พบบาดแผลถูกของมีคม
เจ้าหน้าที่ทำการตรวจพิสูจน์ศพในเบื้องต้น โดยถอดกางเกงออกเพื่อตรวจสอบบริเวณอวัยวะเพศ พบว่ามีรอยช้ำและมีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอดและทวารหนัก ใกล้ศพพบยาหม่องวางอยู่ด้านข้าง 1 ตลับ โดยมีพี่ชายของน้องนุ่นยืนอยู่ใกล้ศพ และไม่แสดงอาการโศกเศร้าแต่อย่างใด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสงสัยว่า น้องนุ่นอาจจะถูกข่มขืนกระทำชำเราแล้วฆ่าก็เป็นไปได้
หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดต่อไปยังนายเดชา สุวรรณสุก พ่อของน้องนุ่น ซึ่งเป็นคนงานตรวจเช็คไม้ของบริษัทธนชัย จำกัด และเป็นโรงไม้แปรรูปในเครือของบริษัทเท็กซ์โก้ฯ พร้อมกับนำตัวมาสอบสวนที่ส.น.มีนบุรี เนื่องจากมีพยานยืนยันว่านายเดชาเป็นคนขี้เหล้า เวลาเมาชอบกระทำรุนแรงทุบตีน้องนุ่นเป็นประจำ ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหา ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาไว้ก่อน เพื่อรอผลพิสูจน์ที่แน่ชัดอีกครั้งหนึ่ง
จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นายเดชาได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ข่มขืนและฆ่าลูกสาวของตัวเอง โดยบอกว่าสาเหตุที่ใบหน้าและลำตัวของน้องนุ่นมีรอยเขียวช้ำ เนื่องจากเมื่อสองวันก่อนได้ตกบันไดบ้านซึ่งมีอยู่ 4 ขั้น ส่วนเรื่องทุบตีน้องนุ่นยอมรับว่ามีบ้างเป็นบางครั้ง การที่พบว่ามีเลือดออกมาจากอวัยวะเพศนั้น นายเดชาให้การว่า เมื่อวันที่ 17 ก.ค.39 เวลาประมาณ 10.00 น. ลูกชายของตนซึ่งค่อนข้างเป็นเด็กเกเร อยู่บ้านกับน้องนุ่นตามลำพังเพียง 2 คน พอตนกลับมาจากที่ทำงานถึงบ้าน ก็ได้สอบถามลูกชายว่าน้องนุ่นเป็นอะไรไป ทำไมถึงมีเลือดไหลออกมาจากเครื่องเพศ ซึ่งลูกชายก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบ ตนจึงไปซื้อยาแก้บวมและแก้อักเสบมาให้กิน และทายาเพื่อรักษาบาดแผล ตอนเช้าวันต่อมาตนได้ถอดเสื้อผ้าของน้องนุ่นออกไปแช่ไว้ในกะละมังเพื่อกลับ มาซักในตอนเย็น จากนั้นจึงได้ไปทำงานตามปกติ และมารู้อีกทีว่าลูกสาวได้สิ้นใจไปแล้ว
เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ให้นายเดชาถอดกางเกงพิสูจน์ พบว่าอวัยวะเพศของนายเดชามีรอยถลอก ซึ่งนายเดชาให้การว่าเกิดจากการสำเร็จความใคร่ให้ตัวเอง นอกจากนี้ยังพบรอยขีดข่วนที่มือซ้ายและหน้าอก ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวไปทำการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งมีนักข่าวไปเป็นจำนวนมาก นายเดชาได้ร้องขอความเป็นธรรมจากนักข่าวโดยบอกว่า ตนไม่เชื่อใจผลพิสูจน์ทางการแพทย์ และขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้ข่มขืนและฆ่าน้องนุ่น นายเดชายังบอกด้วยว่าตนถูกตำรวจใช้กระบองไฟฟ้าจี้บังคับให้รับสารภาพว่าเป็น ผู้ข่มขืนและฆ่าน้องนุ่นลูกสาวของตัวเอง
จากการผ่าพิสูจน์ศพของน้องนุ่น โดยสถาบันนิติเวช ร.พ.ตำรวจ พบร่องรอยการถูกข่มขืนที่อวัยวะเพศจนฉีกขาดถึงทวารหนัก ในช่องคลอดมีน้ำอสุจิขังอยู่ ที่แก้มขวามีรอยฟันกัด ที่ใบหน้าและลำตัวมีรอยเขียวช้ำ สาเหตุการเสียชีวิตเนื่องจากสมองบวม มีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง และเสียเลือดมากจากบาดแผลที่อวัยวะเพศ
วันที่ 19 กรกฎาคม 2539 เวลา 07.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.มีนบุรี ได้นำตัวนายเดชาไปทำการตรวจร่างกายที่สถาบันนิติเวชซ้ำอีกครั้งหนึ่ง โดยในครั้งนี้ได้นำลูกชายของนายเดชาไปตรวจร่างกายด้วย ซึ่งในระหว่างเจาะเลือดเพื่อตรวจ ดี เอ็น เอ ลูกชายของนายเดชามีท่าทางตื่นกลัวและร้องให้อยู่ตลอดเวลา จากนั้นจึงนำทั้งคู่ไปทำการหล่อแบบฟัน เพื่อนำไปเปรียบเทียบกับรอยแผลที่ใบหน้าของน้องนุ่น และผลการตรวจร่างกายนายเดชาไม่พบร่องรอยการถูกกระบองไฟฟ้าจี้แต่อย่างใด
ที่ส.น.มีนบุรี ภรรยาของนายเดชาซึ่งตั้งครรภ์ประมาณ 5 เดือน ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อให้ปากคำ โดยกล่าวว่าก่อนวันเกิดเหตุตนได้เดินทางไปค้างบ้านเพื่อนเพื่อขอยืมเงิน และอยู่กับเพื่อนคนดังกล่าวเป็นเวลา 3 วัน ก่อนที่ตนจะเดินทางกลับบ้านมานั้น ได้ทราบข่าวจากทางโทรทัศน์ ตนรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากและไม่เชื่อว่าสามีจะเป็นผู้ข่มขืนลูกสาวของตัวเอง เพราะนายเดชาเป็นคนมีการศึกษา โดยจบการศึกษาระดับอนุปริญญาจากจังหวัดอุบลราชธานี ปกติแล้วนายเดชาเป็นคนรักเด็ก และก่อนเกิดเหตุตนเห็นใบหน้าของน้องนุ่นบวมปูดมีรอยเขียวช้ำ เมื่อสอบถามถึงสาเหตุ น้องนุ่นบอกว่าพลาดตกบันได ตนจึงหายาหม่องและยาแก้ช้ำมาทาให้ ส่วนบาดแผลที่คล้ายรอยฟันที่แก้มของน้องนุ่น เกิดจากรอยเกาของเด็กเอง ซึ่งนายเดชามีลูกทั้งหมด 3 คน คนโตเป็นผู้ชายเกิดกับภรรยาคนเก่าของนายเดชา ส่วนลูกอีก 2 คนรวมทั้งน้องนุ่น เป็นลูกที่เกิดกับตน ลูกชายของนายเดชาไม่มีปัญหาในการเลี้ยงดู นอกจากซุกซนตามประสาเด็ก ส่วนใครจะเป็นผู้ฆ่าน้องนุ่นและเพราะสาเหตุใดนั้นตนไม่ทราบ
จากการสอบสวนลูกชายของนายเดชา ได้ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า วันเกิดเหตุเวลา 21.00 น. นายเดชาอยู่ในห้องกับน้องนุ่นตามลำพังเพียงสองคน ส่วนตนนั่งเล่นอยู่หน้าบ้านและได้ยินเสียงน้องนุ่นร้องดังๆออกมาว่า “ อย่าทำหนู” หลายครั้งติดกัน
ตกดึกเวลาประมาณ 04.00 น.ขณะที่ตนนอนหลับอยู่บนพื้นข้างเตียง ต้องตกใจตื่นเพราะได้ยินเสียงน้องนุ่นร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดโดยไม่ทราบ สาเหตุ ตนกลัวนายเดชาจะตื่นขึ้นมาและเฆี่ยนตีน้องนุ่นอีก จึงได้ส่งเสียงบอกน้องนุ่นให้หยุดร้องไห้ สักพักน้องนุ่นได้ลุกจากเตียงจะเดินไปเข้าห้องน้ำ ตนเห็นเลือดสีแดงสดไหลเป็นทางเปื้อนขาทั้งสองข้างของน้องนุ่น แต่ไม่ทันที่น้องนุ่นจะเดินถึงห้องน้ำ ก็ได้หมดแรงล้มลงเสียก่อน ตนจึงลุกขึ้นไปประคองร่างน้องนุ่นให้นอนลงและหยิบผ้ามาซับเลือดที่หว่างขา ให้น้อง เมื่อตนนำน้ำมาให้ดื่ม น้องนุ่นก็ไม่มีแรงแม้แต่จะอ้าปากขึ้นมา ตนต้องใช้หลอดกาแฟหยอดน้ำใส่ปากน้องนุ่นอย่างทุลักทุเล
จนรุ่งเช้าน้องนุ่นได้นอนซมจากการอักเสบบาดแผล จนกระทั่งขาดใจตายอย่างน่าอนาถ และหลังจากน้องนุ่นเสียชีวิตแล้ว ตนเห็นมีเลือดไหลออกมาจากอวัยวะเพศจำนวนมาก ตนไม่กล้าจับต้องตัว จึงใช้ไม้ทิ่มเข้าไปที่อวัยวะเพศของน้องนุ่น แต่ตนไม่ได้เป็นผู้ข่มขืนน้องนุ่นตามที่ตำรวจสงสัย
จากการสอบสวนพยานซึ่งเป็นเพื่อนบ้านให้การว่า นายเดชาเป็นคนชอบดื่มสุราเป็นประจำ เวลาเมาชอบทุบตีลูกเมีย ซึ่งภรรยาของนายเดชาทำงานอยู่ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านรามอินทรา ก่อนที่นายเดชาจะมีน้องนุ่นนั้น เคยจับได้ว่าภรรยาของตนไปอยู่กับผู้ชายตามลำพังในโรงแรม เมื่อตามไปดูก็พบว่าทั้งคู่นุ่งผ้าขนหนูอยู่ด้วยกันจริง หลังจากนั้นไม่นานภรรยาของนายเดชาก็ตั้งท้องขึ้นมาและคลอดออกมาเป็นน้องนุ่น ซึ่งนายเดชาฝังใจมาตลอดว่าน้องนุ่นไม่ใช่ลูกตัวเอง และจงเกลียดจงชังมาตลอด เวลานอนก็ให้นอนที่ปลายเท้า และตบตีน้องนุ่นเป็นประจำ
วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ.2539 เวลา 18.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวนายเดชาไปที่ร้านขายยา ซึ่งตั้งอยู่ที่หน้าตลาดมีนบุรี เนื่องจากนายเดชาให้การว่าซื้อยาแก้อักเสบชนิดน้ำสีเหลืองมาให้น้องนุ่น หลังจากที่ประสบอุบัติเหตุตกบันได แต่เมื่อนำยาน้ำแก้อักเสบทุกชนิดภายในร้านทั้งหมดมาดู ปรากฏว่าไม่มียาน้ำชนิดเดียวกับที่นายเดชากล่าวอ้าง นอกจากนั้นยังตรวจพบว่านายเดชาเคยมีประวัติต้องคดีมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.2510 ถูกตำรวจสภ.อ.เมืองอุบลราชธานี จับกุมดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ และปีพ.ศ.2513 ถูกตำรวจสภ.อ.วารินชำราบ จับกุมดำเนินคดีในข้อหาชิงทรัพย์ ซึ่งผิดกับคำให้การของนายเดชาว่าไม่เคยทำผิดอื่นใดมาก่อน
วันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2539 เวลา 13.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบปากคำนายเดชาเพิ่มเติม ซึ่งนายเดชายังให้การปฏิเสธโดยกล่าวว่า ลูกชายของตนเคยใช้ไม้สนุ้กเกอร์ตีน้องนุ่นเป็นประจำ และอาจจะใช้ไม้สนุ้กเกอร์แทงเข้าไปที่อวัยวะเพศของน้องนุ่นก็ได้ ทำไมตำรวจไม่นำไม้สนุ้กเกอร์มาตรวจ หลังจากที่นายเดชาได้กล่าวอ้างเช่นนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวไปที่บ้านพักหลังที่เกิดเหตุ เพื่อไปเอาไม้สนุ้กเกอร์มาตรวจสอบ ซึ่งพบอยู่ภายในห้องนอนของนายเดชา และยังพบปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน ที่มีคราบเลือดซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นคราบเลือดของน้องนุ่นอีกด้วย
วันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ.2539 เวลา 09.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายเดชามาสอบสวนเพิ่มเติมต่อหน้านักข่าว ซึ่งนายเดชาขออนุญาตพูดกับนักข่าวบ้าง โดยกล่าวว่าตนคิดว่าพนักงานสอบสวนยังสอบเรื่องนี้ไม่กระจ่าง รวมทั้งขอปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าตนทรมานน้องนุ่นจนถึงแก่ความตาย และขอปฏิเสธข้อกล่าวหาเกี่ยวกับรอยบาดแผลกว่า 20 แห่งบนตัวน้องนุ่น เพราะตนก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าบาดแผลดังกล่าวเกิดขึ้นมาได้อย่างไร นอกจากนั้นตนยังขอยืนยันอีกครั้งว่าตนไม่ได้ข่มขืนน้องนุ่น เนื่องจากตนไม่ใช่สัตว์ และที่ตนเคยทำโทษลูกอย่างมากก็แค่หยิกเพื่อสั่งสอนเท่านั้น อีกทั้งก่อนที่น้องนุ่นจะเสียชีวิต ตนไม่เคยแตะต้องตัวลูกเลย จึงไม่ทราบว่าลูกได้เสียเลือดมากมายขนาดนั้น
ตนยอมรับว่ารักลูกไม่เท่ากัน โดยรักลูกคนเล็กมากกว่า ซึ่งเป็นเหตุผลส่วนตัวไม่สามารถบอกให้ใครล่วงรู้ได้ และจากการสอบปากคำเพื่อนบ้านของตนนั้น อาจไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ควรไปสอบปากคำคนอื่นๆบ้าง เนื่องจากเพื่อนบ้านที่สนิทกับตนบางคนที่มาเยี่ยมบอกว่า เห็นลูกชายของตนชอบใช้ไม้คิวทำร้ายน้องทุกวัน แต่บาปทำไมกลับต้องมาตกอยู่ที่ตน ถึงอย่างไรตนก็ไม่คิดจะปรักปรำลูกชาย เนื่องจากตนรักลูกชายคนนี้มาก
วันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2539 ผลการตรวจร่างกายของนายเดชาและลูกชายในเบื้องต้นปรากฏว่า บาดแผลที่อวัยวะเพศของนายเดชา เป็นแผลที่ถลอกใหม่และเป็นบาดแผลช้ำแดงไปทั่ว ส่วนที่แขนซ้ายด้านนอกและใต้ศอก มีรอยเล็บข่วนเล็กเท่ากับเล็บของเด็ก บาดแผลรอยฟันกัดที่ใบหน้าของน้องนุ่น เข้ากันได้พอดีกับรอยฟันของนายเดชา สำหรับเรื่องที่นายเดชาอ้างว่าถูกตำรวจซ้อมนั้น ผลการตรวจร่างกายยืนยันว่าไม่พบบาดแผลอื่นใด ในส่วนลูกชายนายเดชาแพทย์ยืนยันว่า อวัยวะเพศมีลักษณะเติบโตไม่เต็มที่ และไม่พบบาดแผลใดๆที่ร่างกายตั้งแต่หัวจนถึงเท้า รอยฟันกัดที่แก้มของน้องนุ่น ไม่สามารถเข้าได้กับลูกชายนายเดชา จึงเชื่อว่าลูกชายนายเดชาบริสุทธิ์
วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ.2539 เวลา 11.30 น. หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบสวนอีกครั้งเป็นเวลา 2 ชั่วโมง นายเดชาได้เปิดปากให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือข่มขืนน้องนุ่นจริง โดยสาเหตุที่ทำลงไปเนื่องจากความกดดันเรื่องครอบครัวและภรรยา ก่อนเกิดเหตุนายเดชาได้ไปกินเหล้าขาวกับเพื่อนจนเมาและกลับมาถึงบ้านเมื่อ เวลาประมาณ 21.00 น. ด้วยความแค้นที่เมียของตนหนีไปอยู่กับชายอื่นทั้งๆที่อยู่ในระหว่างตั้ง ครรภ์ จึงลงมือข่มขืนน้องนุ่นอย่างทารุณ โดยข่มขืนทั้งทางอวัยวะเพศและทางทวารหนัก เสร็จแล้วพาน้องนุ่นไปล้างคราบเลือดในห้องน้ำ จากนั้นจึงพามานอน
ในคืนวันรุ่งขึ้นได้ลงมือข่มขืนอีกครั้ง ตนเห็นมีเลือดไหลออกจากอวัยวะเพศของน้องนุ่น แต่ไม่คิดว่าจะถึงอันตรายจนเสียชีวิต จึงไม่พาน้องนุ่นไปหาหมอ จนกระทั่งน้องนุ่นทนความเจ็บปวดไม่ไหวประกอบกับเสียเลือดมากจึงเสียชีวิตใน เวลาต่อมา
หลังจากที่นายเดชาได้รับสารภาพแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุมีประชาชนที่รู้ข่าวมารอดูการทำแผนเป็นจำนวนมาก พอนำตัวลงจากรถเพื่อเดินไปบ้าน มีประชาชนได้โดดเข้าต่อยหน้านายเดชาอย่างแรง 2 ครั้ง เจ้าหน้าที่ต้องเข้ากันไว้อย่างเต็มที่
ระหว่างการทำแผนนั้นนายเดชาได้บอกกับนักข่าวว่า ตนจำไม่ได้ว่าข่มขืนน้องนุ่นวันไหน เนื่องจากเวลานั้นตนเมามาก ขณะที่เด็กร้องด้วยความเจ็บปวดตนก็ไม่ได้ยินเสียง และที่ต้องทำเช่นนี้เพราะความเก็บกดจากภรรยาที่ชอบหนีออกจากบ้านบ่อยๆ และตนเชื่อว่าน้องนุ่นไม่ใช่ลูกของตน (ภายหลังผลการตรวจพิสูจน์ทาง ดี เอ็น เอ ยืนยันว่าน้องนุ่นไม่ใช่ลูกของนายเดชาแต่อย่างใด)
ตลอดเวลาที่นายเดชาทำแผนประกอบคำรับสารภาพอยู่นั้น ประชาชนต่างรุมสาบแช่งและเรียกร้องให้ประหารชีวิตกันเสียงระงม เมื่อทำแผนเสร็จจึงนำกลับไปคุมขังที่สน.มีนบุรีเช่นเดิม โดยมีประชาชนพยายามที่จะเข้ารุมประชาทัณฑ์นายเดชาตลอด หลังการสอบสวนเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ส่งมอบสำนวนการสอบสวนให้อัยการ เพื่อส่งฟ้องดำเนินคดีกับนายเดชาและส่งตัวเข้าฝากขังที่เรือนจำพิเศษมีนบุรี
ผลการพิจารณาของศาลชั้นต้น ได้ตัดสินให้ประหารชีวิตนายเดชาและถูกส่งมาควบคุมตัวที่เรือนจำกลางบางขวาง หลังจากนั้นข.ช.เดชาได้ใช้สิทธิ์ในการขอยื่นอุทธรณ์ต่อศาล ผลการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นให้ประหารชีวิต ข.ช.เดชาได้ใช้สิทธิ์ในการขอยื่นฎีกาต่อศาล ผลการพิจารณาของศาลฎีกาได้ยืนตามศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ หลังเสร็จสิ้นกระบวนการยุติธรรมของศาลแล้ว น.ช.เดชาได้ทำหนังสือถวายฎีกาทูลเกล้าฯขอพระราชทานอภัยโทษตามสิทธิ์อีก และรอผลการพิจารณาอยู่ที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1
วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2542 เวลา 16.00 น. ข้าพเจ้าได้รับทราบชื่อของนักโทษที่จะถูกประหารในวันนี้ ปรากฏว่าใช่น.ช.เดชา สุวรรณสุก ตามที่ได้คาดหมายไว้ เวลา 16.10 น. ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงอีกสองนายพร้อมด้วยหัวหน้าฝ่ายควบคุมกลาง ได้เข้าไปเบิกตัวน.ช.เดชาที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1 เมื่อเข้าไปภายในตึกขังแล้ว มีนักโทษประหารซึ่งถูกขังอยู่ห้องต้นๆ ได้ถามข้าพเจ้าด้วยเสียงสั่นๆว่า “ หัวหน้าครับวันนี้มีกี่คน แล้วผมจะโดนด้วยหรือเปล่า” ข้าพเจ้าตอบกลับไปว่า “ ใจเย็นๆ วันนี้มีแค่รายเดียวแล้วก็ไม่ใช่ห้องนี้ด้วย ผมว่าที่เหลือน่าจะทันได้อภัย เพราะว่าใกล้จะประกาศออกมาแล้ว” นักโทษคนเดิมได้พูดขึ้นอีก “ ขอให้เป็นอย่างที่หัวหน้าพูดเถอะครับ พวกผมกลัวกันเหลือเกิน พอได้เวลาสี่โมงเย็นเมื่อไร พวกผมเป็นอันไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว คอยฟังเสียงไขกุญแจประตูตึก จนกว่าจะถึงเวลาห้าโมงเย็น พวกผมจึงจะหายใจได้โล่งอก”
หลังตอบคำถามนักโทษประหารรายนั้นแล้ว ข้าพเจ้าได้เดินไปหยุดยืนที่หน้าห้องคุมขัง น.ช.เดชา และเหมือนกับ น.ช.เดชารู้ตัวล่วงหน้า ได้ลุกขึ้นยืนและเดินก้มหน้าออกมาหาข้าพเจ้าทันที โดยยังไม่มีเจ้าหน้าที่นายไหนเรียกชื่อขึ้นมา เมื่อออกมาพ้นประตูห้องขัง ข้าพเจ้าได้สวมกุญแจมือและทำการตรวจค้นตัวทันที ซึ่งน.ช.เดชาพูดขึ้นว่า "หัวหน้าครับไม่ต้องใส่กุญแจมือผมก็ได้ ผมพร้อมที่จะให้หัวหน้าพาไปครับ" ข้าพเจ้าได้บอกไปว่า " ไม่ได้หรอก ผู้ใหญ่สั่งมา ถ้าเดชาอยู่ในความสงบ ผมจะขออนุญาตถอดออกให้" (สาเหตุที่ต้องใส่กุญแจมือเนื่องมาจากการต่อสู้ดิ้นรนของ น.ช.พันธุ์ที่เกิดขึ้นในครั้งก่อน ข้าพเจ้าจึงได้รับคำสั่งให้ใส่กุญแจมือนักโทษประหารทุกครั้งและทุกคน จนกว่าจะเห็นว่าไม่แสดงอาการขัดขืนหรือสติแตกเกิดขึ้น จึงจะอนุญาตให้ไขกุญแจมือออกได้ ) จากนั้นข้าพเจ้าได้นำตัว น.ช.เดชาออกมาจากตึกขังทันที
ในระหว่างที่เดินออกไปที่หมวดผู้ช่วยเหลือฯ ข้าพเจ้าถามว่า “ เดชารู้ตัวได้ยังไงว่าต้องเป็นตัวเองโดยผมไม่ต้องเรียกชื่อ” น.ช.เดชาตอบว่า “ ผมคิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่ายังไงก็คงไม่รอด ยิ่งตอนที่หัวหน้าเอาพันธุ์ไปประหาร ผมยิ่งทำใจพร้อมรอให้หัวหน้ามารับผมไป เพราะคดีของผมกับพันธุ์ไม่แตกต่างกันเท่าไร ตอนที่หัวหน้าหยุดยืนที่หน้าห้อง ผมเห็นสายตาหัวหน้ามองมาที่ผม ผมรู้ทันทีว่าไม่ใช่ใครอื่นแน่ เลยลุกขึ้นมาเลยดีกว่าไม่ต้องเสียเวลาให้ยุ่งยาก แต่หัวหน้าเชื่อไหมครับผมไม่ได้ทำน้องนุ่นจริงๆ ความยุติธรรมในโลกนี้ไปอยู่ที่ไหนหมดไม่รู้”
เมื่อนำตัวมาถึงหมวดผู้ช่วยเหลือฯ ได้ให้นั่งที่เก้าอี้ที่จัดไว้ให้กลางห้อง เวลานั้นเป็นช่วงเลิกงานพอดี ปกติแล้วเจ้าหน้าที่ของเรือนจำส่วนใหญ่จะกลับบ้านกันเลย ไม่ค่อยได้แวะดูการประหารชีวิต เนื่องเพราะได้เห็นการประหารชีวิตอยู่เป็นประจำจนดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่เมื่อรู้ว่าจะประหารชีวิตน.ช.เดชาผู้ก่อคดีข่มขืนน้องนุ่น จึงได้เข้ามามุงดูอยู่รอบนอกหมวดผู้ช่วยเหลือฯจำนวนมาก
น.ช.เดชาเห็นดังนั้นได้พูดขึ้นดังๆว่า “ หัวหน้าและพี่ๆทุกคน ผมจะถูกประหารในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าแล้ว ผมขอยืนยันให้ทุกคนได้รับรู้ไว้ ผมไม่ได้ทำน้องนุ่นลูกของผมจริงๆ ถึงอาจจะไม่ใช่ลูกแท้ๆของผมก็จริง แต่ผมเลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะจนมีความรู้สึกว่าน้องนุ่นคือลูกของผมเอง แล้วผมจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง พอน้องนุ่นตายตำรวจก็มาจับผมไป บีบคั้นให้ผมรับสารภาพ เมื่อผมปฏิเสธก็ซ้อมผมบ้าง ใช้กระบองไฟฟ้าจี้ผมบ้าง แล้วผมจะไปทนได้ยังไง ผมจึงจำต้องรับสารภาพออกมาทั้งๆที่ผมไม่ได้เป็นคนทำ
ผมไม่เชื่อว่าความยุติธรรมจะมีเหลืออยู่ในโลก มีเพื่อนนักโทษอีกหลายคนที่ติดคุกโดยไม่ได้ทำความผิด บางคนร้ายแรงถึงโทษประหารเหมือนผม เมื่อผมตายไปแล้วความจริงปรากฏขึ้นมาว่า ใครเป็นคนทำน้องนุ่น ผมอยากรู้ว่าใครจะมาเป็นผู้ชดใช้ชีวิตให้ผม สำหรับหัวหน้าทุกคนผมรู้ว่าต้องทำตามหน้าที่ ผมยินยอมเข้าหลักประหารแต่โดยดี คิดเสียว่าเป็นกรรมเก่าของผมก็แล้วกัน”
หลังจากน.ช.เดชาพูดจบ ผู้อำนวยการส่วนควบคุมเห็นว่าน.ช.เดชาไม่มีอาการที่ไม่น่าไว้วางใจ จึงได้สั่งให้ข้าพเจ้าไขกุญแจมือออกให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร และฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขัง ได้เข้ามาพิมพ์ลายนิ้วมือและตรวจสอบประวัติบุคคลตามระเบียบ น.ช.เดชาได้หันมาพูดกับข้าพเจ้า “ หัวหน้าครับไหนๆผมก็จะตายแล้ว ผมขออะไรหัวหน้าสักอย่างจะได้ไหม”
ข้าพเจ้าถามกลับไป “ เดชาจะขออะไร ถ้าไม่เป็นการผิดระเบียบของเรือนจำ ผมจะจัดการให้” น.ช.เดชา “ ผมขอเหล้าเพรียวๆสักแก้วได้ไหมครับ สมัยก่อนผมต้องดื่มทุกวันจนมาเกิดเรื่องขึ้น วันนี้ขอดื่มทิ้งทวนอีกสักครั้งเถอะครับ”
ข้าพเจ้า “ แหมเดชาเข้าใจขอจังนะ ความจริงแล้วสำหรับตัวผมเอง ยินดีที่จะให้เดชาได้ดื่มสักแก้ว เพราะตัวผมเองก็ดื่มบ้างเป็นบางครั้ง แต่เหล้ามันเป็นของผิดระเบียบ คงไม่มีใครยอมให้ผมเอาเข้ามาให้แน่ เดชาอยากกินอะไรที่มันไม่ผิดระเบียบไหม ผมจะได้ขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยจัดหามาให้” น.ช.เดชาถอนหายใจออกมา “ เฮ้อ! น่าเสียดายจัง ถ้าอย่างนั้นผมขอกาแฟแก่ๆสักแก้ว แล้วก็ทุเรียนก้านยาวสักลูกได้ไหมครับ” ข้าพเจ้า “ เรื่องกาแฟไม่มีปัญหา แต่ทุเรียนเดี๋ยวจะขอให้เจ้าหน้าที่ไปหามาให้ ผมไม่รู้ว่าจะมีหรือเปล่านะ”
ขณะนั้นเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขังนายหนึ่งได้พูดขึ้น “ เรื่องทุเรียนเดี๋ยวผมจัดการเอง แม่ยายผมขายทุเรียนอยู่ที่ตลาดนนท์นี่เอง รับรองว่าผมจะให้คัดอย่างดีมาให้เลย” เมื่อกล่าวจบเจ้าหน้าที่นายนั้นรีบออกไปจัดการทันที น.ช.เดชายิ้มขึ้นมาได้แล้วกล่าวว่า “ ให้มันได้ยังงี้ซิ ก่อนตายขอให้ผมได้มีความสุขบ้างเล็กๆน้อยๆก็ยังดี ผมขอขอบคุณทุกคนมาก”
หลังจากพิมพ์ลายนิ้วมือเสร็จ เวรผู้ใหญ่ได้เข้ามาอ่านคำสั่งให้ยกฎีกาจากสำนักนายกฯให้ น.ช.เดชาฟัง แล้วให้เซ็นทราบในคำสั่งนั้น ต่อจากนั้นได้ให้ทำพินัยกรรมและเขียนจดหมาย ซึ่งน.ช.เดชาไม่ขอทำพินัยกรรม แต่ได้เขียนจดหมายถึงพ่อและแม่ ในเนื้อความของจดหมายมีอยู่ข้อความหนึ่งเขียนว่า “ ความยุติธรรมไม่มีในโลกนี้ ถ้าชาติหน้ามีจริงขอเกิดมาเป็นลูกพ่อกับแม่ใหม่”
เมื่อเขียนจดหมายเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าได้ยกอาหารมื้อสุดท้ายมาให้ ซึ่งมีแกงจืดเต้าหู้หมูสับ น้ำพริกกะปิและผักต้ม ข้าวเปล่า น้ำเปล่า กาแฟแก่ๆ และทุเรียนก้านยาว น.ช.เดชาได้หยิบทุเรียนขึ้นกินทันทีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับยกกาแฟขึ้นดื่มไปด้วย โดยไม่แตะต้องอาหารอย่างอื่น หลังจากกินทุเรียนไปได้ 2 พูใหญ่ๆ น.ช.เดชาได้หันมาพูดกับข้าพเจ้า “ อิ่มแล้วครับหัวหน้า ผมขอขอบคุณทุกคนอีกครั้ง ผมพร้อมแล้วเอาผมไปยิงได้เลยครับ เวลาหัวหน้าดื่มเหล้าอย่าลืมเทส่งให้ผมบ้างนะครับ “ ข้าพเจ้าจึงบอกไป “ เดี๋ยวคืนนี้ผมกลับถึงบ้าน ผมจะจัดการส่งไปให้ทั้งแบนเลยคอยรับด้วยนะ” น.ช.เดชาได้พูดติดตลกขึ้น “ อย่าลืมจ่าหน้าผู้รับให้ดีๆนะหัวหน้า เดี๋ยวเหล้าจะไม่ถึงผม”
จากนั้นได้นำไปฟังพระเทศน์ ซึ่งน.ช.เดชาได้ตั้งใจฟังอย่างสงบ เสร็จแล้วจึงนำไปสู่ห้องประหารทันที ตลอดทางที่เดินไปนั้น น.ช.เดชาคอยย้ำแต่คำว่า “ ผมไม่ได้ทำน้องนุ่นจริงๆครับ ผมไม่ได้ทำ” เมื่อถึงศาลเจ้าพ่อเจตคุปต์ ข้าพเจ้าได้นำน.ช.เดชาแวะเข้ากราบไหว้ ซึ่งน.ช.เดชาได้คุกเข่าพนมมืออธิฐานในใจอยู่พักหนึ่ง แล้วลุกขึ้นให้นำตัวไปห้องประหารต่อ พอถึงศาลาเย็นใจ ได้ให้นั่งที่เก้าอี้ขาว ข้าพเจ้าเป็นผู้หยิบดอกไม้ธูปเทียนส่งให้ โดยมีพี่เลี้ยงอีกนายทำการผูกตา เสร็จแล้วช่วยกันประคองนำเข้าสู่ห้องประหาร เมื่อเข้าไปแล้วได้นำเข้าสู่หลักประหารหลักที่หนึ่ง ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงอีกสองนายช่วยกันผูกมัด ทำการตั้งเป้าตาวัว เอาทรายแห้งโรยรอบหลักประหาร ข้าพเจ้าได้กล่าวขออโหสิกรรมอีกครั้งหนึ่ง น.ช.เดชาได้กล่าวว่า “ผมขออโหสิกรรมให้ทุกคน รวมทั้งตำรวจที่จับผมมาด้วย ผมไม่ขอมีเวรกรรมกับใครอีก แต่ผมขอยืนยันครั้งสุดท้ายว่าผมไม่ได้ทำน้องนุ่น”
พลเล็งปืนได้เข้าทำหน้าที่บรรจุกระสุนและตั้งศูนย์ปืน เมื่อได้ที่แล้วเพชฌฆาตมือหนึ่งเข้าตรวจสอบศูนย์ปืนอีกครั้ง จากนั้นได้แจ้งให้หัวหน้าชุดประหารทราบความพร้อม หัวหน้าชุดฯจึงทำการโบกธงลง เพชฌฆาตทำการเหนี่ยวไกยิงทันที “ ปัง ปัง ปังๆๆๆๆๆ” ใช้กระสุนในการประหารทั้งสิ้น 8 นัด ทำการประหารเมื่อเวลา 17.45 น.
หลังเสียงปืนได้เงียบลง ข้าพเจ้าได้ยินเสียง “ ครอก ครืด ครอกๆ” ประมาณ 3-4 ครั้งแล้วเงียบไป เมื่อครบ 3 นาทีข้าพเจ้าและแพทย์ได้เข้าไปตรวจดู ปรากฏว่าน.ช.เดชาได้สิ้นใจเรียบร้อยแล้ว จึงได้แจ้งให้หัวหน้าชุดประหารทราบ และได้รับคำสั่งให้นำร่างน.ช.เดชาลงจากหลักประหาร ต่อจากนั้นเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่พิมพ์ลายนิ้วต่อไป
หลังประหารเสร็จ ข้าพเจ้าได้แวะซื้อเหล้าติดมือกลับบ้าน 1 แบน เวลา 22.00 น.ข้าพเจ้าได้จุดธูปอธิฐานให้น.ช.เดชามารับเหล้าแบนนี้ไป พร้อมกับเปิดฝาขวดเทเหล้าใส่แก้วตั้งไว้หน้าบ้าน รุ่งเช้าวันต่อมาปรากฏว่าเหล้าแบนนี้ได้หายไปเหลือเพียงแก้วเปล่า ข้าพเจ้าได้พูดขึ้นว่า “ สงสัยเดชาคงมาหิ้วเหล้าไปแล้ว” เพื่อนข้างบ้านได้ยินข้าพเจ้าพูดอย่างนั้น จึงได้ส่งเสียงตอบออกมาว่า "ไม่ใช่เดชาหรอก เมื่อเช้ามืดเห็นสามล้อถีบมาลาไปเรียบร้อยแล้ว"
ที่มา : yuthbk.blogspot.com