เสรีพิศุทธ์ ย้อนเจ็บ ถาม ผบ.ตร. มีอำนาจอะไรให้แจง
ความคืบหน้ากรณีชุดเฉพาะกิจของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส จเรตำรวจแห่งชาติ บุกทลายบ่อนการพนันย่านประตูน้ำ และบานปลายฟ้องร้องกันนัวเนีย ระหว่างชุดจับกุมกับฝ่ายผู้ต้องหา ล่าสุดทนายความของนายไพรจิตร ธรรมโรจน์พินิจ หรือปอ ประตูน้ำ ได้ร้องเรียนพฤติกรรมของจเรตำรวจแห่งชาติ ที่ให้สัมภาษณ์ออกรายการโทรทัศน์ในลักษณะคุกคามวิชาชีพ จน พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะผบ.ตร. มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ รายงานข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวนั้น
ที่สำนักงานตำรวจภูธรภาค 1 เมื่อเวลา 14.00 น. วานนี้ (23 ก.พ.) พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส จเรตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางไปมอบนโยบายการปราบปรามสถานบริการ และแหล่งอบายมุขแก่ข้าราชการตำรวจในสังกัด บช.ภ.1 โดยกล่าวว่านโยบายที่จะมอบมีทั้งหมด 3 เรื่องด้วยกัน คือห้ามไปรับเงินที่ผิดกฎหมายโดยเด็ดขาด ถ้ารับแล้วทำงานไม่ได้ ประการที่ 2 ให้ดำเนินการทุกอย่างตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และ 3.ให้ผู้บังคับบัญชาดูแลสวัสดิการ ขวัญและกำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชาให้เต็มที่ ผู้สื่อข่าวถามว่า ตามที่ ผบ.ตร.ให้ชี้แจงถึงเรื่องที่นายสุกิจ พูนศรีเกษม ร้องเรียน จะดำเนินการอย่างไร จเรตำรวจแห่งชาติย้อนถามว่า ขอถามหน่อย ผบ.ตร.มีอำนาจ อะไรมาให้ชี้แจง ตนปฏิบัติหน้าที่ในนามอนุกรรมการปราบปรามผู้มีอิทธิพลตามคำสั่งของ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี จะพูดหรือทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ช่วยไปถามด้วยว่าท่านไปยืนข้างเจ้าของบ่อน หรือข้างผู้รักษากฎหมาย ตอนนี้อยู่ระหว่างเคลียร์หลักฐานไปก่อน มาลูกไหนตนก็รับได้หมดทั้งนั้น เพราะชำนาญอยู่แล้วเรื่องนี้ พร้อมกับหันมาถามผู้สื่อข่าวว่า น้องแดงเป็นไงบ้าง เห็นเมื่อเช้ามีข่าวออกทีวีว่าจะมากราบขอโทษไม่ใช่หรือ ตนแค่ปล่อยจรวดสกั๊ดเข้าไปลูกเดียวจอด เมื่อถามว่า พร้อมจะให้อภัยหรือไม่ จเรตำรวจแห่งชาติตอบว่ามากราบก่อนแล้วจะพิจารณาว่าเหมาะสมแค่ไหนกับการกระทำ
ในวันเดียวกัน ที่ศาลอาญา นายอนันตชัย ไชยเดช ทนายความที่ได้รับการแต่งตั้งจากชุดเฉพาะกิจของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส จเรตำรวจแห่งชาติ ได้นำสำนวนคดีของคณะทำงานชุดเฉพาะกิจจับกุมบ่อนการพนันย่านประตูน้ำ จำนวน 4 สำนวน ไปยื่นฟ้องต่อศาล โดยคดีแรกมี พ.ต.อ.สมบัติ ศุภชีวะ พ.ต.ท.ณรงค์ ครองธรรม และ ส.ต.ต.พิรุฬห์ ทองนุ่น เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายไพรจิตร ธรรมโรจน์พินิจ หรือปอ ประตูน้ำ ฐานต่อสู้ ขัดขวางเจ้าพนักงาน ข่มขืนใจผู้อื่นให้จำยอมต่อสิ่งใด กักขังหน่วงเหนี่ยว โดยฟ้องว่า เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 46 พวกของโจทก์ได้รับอนุญาตจากศาลแขวงดุสิตให้เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 487/53 ในซอยวัฒนสิน ถนนราชปรารภ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กทม. จำเลยได้ แสดงตัวเอะอะโวยวายแล้วนำชายฉกรรจ์ประมาณ 50 คน เข้ามาหาโจทก์ทั้ง 3 ลักษณะ ข่มขู่ ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ อีกทั้งไม่ยอมให้โจทก์ออกจากบ้าน จนต้องโทร. รายงาน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส จเรตำรวจแห่งชาติ หัวหน้าชุดปราบปรามอบายมุขและสถานบริการ ทราบ ต่อมา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เดินทางไปรับตัวโจทก์ จำเลยได้พูดจาดูหมิ่นหยาบคาย จึงขอให้ศาลลงโทษตามกฎหมาย
สำนวนที่ 2 มี พ.ต.อ.สมบัติ ศุภชีวะ เป็นโจทก์ฟ้องนายไพรจิตร ธรรมโรจน์พินิจ พร้อมทีมทนายความ คือนายเกรียง วิศิษฎ์สรอรรถ นายอุทิศ วิมลศิลป์ และนายวิโรจน์ นาคสุวรรณ เป็นจำเลยฐานร่วมกันฟ้องเท็จ โดยฟ้องว่าเมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2549 จำเลยนำความเท็จไปฟ้องต่อศาลว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กับโจทก์และพวกซึ่งเป็นตำรวจบุกรุกเข้าค้นบ้านของนายไพรจิตร เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2549 ที่บ้านเลขที่ 487/53 ย่านประตูน้ำ โดยไม่มีอำนาจตรวจค้น เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ความจริงแล้วโจทก์มีอำนาจการตรวจค้น จำเลยซึ่งเป็นทนายความมานานนับสิบปี น่าจะรู้กฎหมาย ป.วิอาญาเรื่องการตรวจค้นเป็นอย่างดี แต่จำเลยกลับนำความเท็จไปฟ้องศาล จึงขอให้ลงโทษ
สำนวนที่ 3 พ.ต.อ.สุพจน์ เกษมชัยอนันต์ เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยชุดเดียวกับสำนวนที่ 2 ฐานฟ้องเท็จ โดยฟ้องว่าตามวันเวลาสถานที่เดียวกับสำนวนที่ 2 โจทก์ เข้าตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าวตามกฎหมาย แต่จำเลยกลับไปฟ้องเท็จว่าโจทก์ตรวจค้นโดยไม่แสดงบัตร ไม่แสดงหมายค้นและใช้อำนาจข่มขู่จำเลย ทั้งที่ความจริงโจทก์ ไม่ได้ปฏิบัติเช่นนั้น ขอให้ศาลลงโทษจำเลย ส่วนสำนวนที่ 4 มี พ.ต.ต.อาทร วิเศษสาธร ฟ้องจำเลยชุดเดียวกับสำนวนที่ 2 และ 3 ฐานร่วมกันฟ้องเท็จ โดยมีเนื้อหารายละเอียดสอดคล้องกับสำนวนที่ 3 ศาลได้มีคำสั่งนัดไต่สวนคดีทั้งหมดในวันที่ 1, 3 พ.ค. นี้ นายอนันต์ชัยเปิดเผยว่า ได้รับเป็นทนายความให้ชุดเฉพาะกิจของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อย่างเต็มตัวในทุกสำนวนคดี และในเร็วๆนี้จะฟ้องอีก 10 กว่าคดี โดยเฉพาะนายไพรจิตร ในข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ที่ศาลแขวงดุสิตอีก ส่วนในรายของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ที่ออกมาพูดโจมตี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ในทำนองได้รับความเสียหาย กำลังศึกษาข้อมูลรายละเอียดจากเทปโทรทัศน์ เพื่อเตรียมฟ้องร้องต่อไปอย่างแน่นอน
ส่วนที่ บช.น. พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี รอง ผบช.น. กล่าวถึงนโยบายการปราบปรามอบายมุข ภายหลัง พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เรียกประชุมว่า ได้สั่งการให้ตำรวจทุกท้องที่กวดขันการลักลอบเล่นการพนันในบ่อนใหญ่ของกรุงเทพฯ รวม 7 แห่ง ได้แก่บ่อนเตาปูน บ่อนกิ่งเพชร บ่อนแม่โห้ บ่อนลอยฟ้า บ่อนปอ ประตูน้ำ บ่อนถวิล บางนา และบ่อนเจ๊ง้อ วัดพระยาไกร เนื่องจากทราบว่ายังมีการลักลอบเล่นการพนันกันอย่างต่อเนื่อง โดยตำรวจจำเป็นต้องตรวจหาข้อมูลที่ชัดเจนก่อนเข้าจับกุม มิฉะนั้นอาจถูกเจ้าของบ่อนร้องเรียน ส่วนจะเข้าข่ายการยึดทรัพย์ หรือไม่นั้น พนักงานสอบสวนจะต้องลงบันทึกอย่างละเอียด ว่าสถานที่ลักลอบเล่นการพนันมีเจตนาเพื่ออยู่อาศัยหรือสร้างเพื่อเป็นบ่อนการพนันโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ส่วนหนึ่งที่ใช้ในการกระทำผิด และจะเป็นข้อมูลต่อเนื่องในการยึดทรัพย์ต่อไป ในส่วนของสถานบริการต่างๆ จเรตำรวจ แห่งชาติมีคำสั่งให้แต่ละ บก. ตรวจสอบสถานบริการทั่วกรุงเทพฯ ให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย โดยประสานกับตำรวจท้องที่ร่วมกันทำงาน มีสถานบริการหลายแห่งที่ยังไม่ให้ความร่วมมือกับตำรวจ จึงต้องใช้มาตรการเด็ดขาดสั่งปิดสถานบริการนั้นทันที ส่วนร้านข้าวต้ม หากลักลอบขายสุรากันจนรุ่งเช้า ตำรวจได้กำหนดเวลาห้ามเกินตี 2 และไม่ให้เข้ามารุกล้ำทางเดินเท้าอย่างเด็ดขาด