กอ.รส.แถลงโชว์ผลงานจับอาวุธสงครามได้ 5 คดีใหญ่ เร่งขยายผลหาคนทำผิด ยันไม่ได้พุ่งเป้าไปที่คนเสื้อแดง พร้อมแจงประกาศกฎอัยการศึกถูกต้องตาม รธน. ไม่ทำให้ ศก.ไทยหยุดชะงัก
เมื่อวันที่ 22 พ.ค. เวลา 11.20 น.ที่อาคารกำลังเอก ภายในสโมสรทหารบก ถนนวิภาวดี พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก
แถลงถึงความคืบหน้าการปฏิบัติการตามนโยบายปราบปราม และจับกุมอาวุธสงคราม ซึ่งเป็นนโยบายเร่งด่วนของกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) ที่จะดำเนินการอย่างเด็ดขาด ว่า เมื่อคืนวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมากอ.รส.ได้มีคำสั่งห้ามมีการพกพาอาวุธสงคราม ยกเว้นเจ้าพนักงานทหาร และเจ้าพนักงานตำรวจตระเวณชายแดนที่ปฏิบัติหน้าที่สนับสนุนกองกำลังป้องกันชายแดน และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งในส่วนอื่นๆ จะไม่อนุญาตให้พกพกอาวุธสงครามได้ ทั้งนี้ จากปฏิบัติการปราบปรามอาวุธสงครามเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมได้ 4 คดี
โดยคดีที่ 1 สามารถจับได้ที่ จ.นครนายก ซึ่งอยู่ระหว่างการหาตัวผู้กระทำผิด คดีที่ 2 ผู้กระทำผิดถูกตรวจจับได้ที่เขตทวีวัฒนา กทม.ใกล้เคียงพื้นที่ชุมนุม เป็นปืนเล็กยาวเอเค 47 หรือ ปืนอาก้า 1 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน 30 นัด คดีที่ 3 จับได้ที่ จ.ลพบุรี ได้ของกลางจำนวนมาก รวมถึงวัตถุระเบิด และคดีที่ 4 จับได้ในเขตพื้นที่ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เป็นเสื้อเกราะ และหมวกเคฟล่ากันกระสุน ซึ่งได้รับรายงานเพิ่มเติมล่าสุดว่าเจ้าหน้าที่จับกุมได้อีก 1 คดี เป็นคดีที่มีจำนวนของกลางจำนวนมาก รวมถึงมีอาวุธสงคราม และวัตถุระเบิดร้ายแรงด้วย ซึ่งรายละเอียดจะนำมาแถลงข่าวให้ทราบภายหลัง
เมื่อถามว่า อาวุธที่จับมาได้มีส่วนเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุหลายครั้งที่ผ่านมาหรือไม่
พ.อ.วินธัย กล่าวว่า อาวุธทั้งหมดขณะนี้อยู่ในขั้นตอนสืบสวนสอบสวน ทางกอ.รส.ไม่ต้องการให้ผู้ไม่หวังดีคิดหรือทำอะไรให้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ เพราะถือเป็นเรื่องที่อ่อนไหว และกอ.รส.ยืนยันว่าเราจะดำเนินการโดยคำนึงถึงความรู้สึกของพี่น้องประชาชนทุกกลุ่ม อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กอ.รส.กำลังเร่งดำเนินการตรวจสอบเรื่องอาวุธสงคราม และยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุด อย่างน้อยเพื่อให้สังคมเห็นว่าทหารมีความจริงใจในเรื่องนี้
เมื่อถามต่อว่า การที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ระบุว่าการเร่งตรวจสอบเรื่องอาวุธพุ่งเป้าเฉพาะเสื้อแดง และเจ้าหน้าที่ทหารต้องการสลายการชุมนุมของกลุ่มนปช. พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ยังไม่ควรที่จะไปสรุปเช่นนั้น ทหารยืนยันว่าเราทำตามกรอบกฎหมาย และไม่ได้มุ่งตรวจสอบไปที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น หรือไม่ได้พุ่งเป้าไปเฉพาะที่คนเสื้อแดงแต่อย่างใด
พ.อ.วินธัย กล่าวต่อว่า ขณะนี้ยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการใช้อำนาจกฎอัยการศึก
ซึ่งขอยืนยันว่า การประกาศกฎหมายดังกล่าวประกาศเมื่อเวลา 03.00 น. ของวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะผอ.รส. มีกำลังทหารเกินกว่า 1 กองพัน และมีอำนาจรับผิดชอบทั้ง 4 กองทัพภาค จึงถือว่ามีเขตอำนาจครอบคลุมทั่วราชอาณาจักร ดังนั้น เมื่อมีแนวโน้มจะเกิดจลาจล และกระทบต่อความมั่นคง รวมถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ผบ.ทบ.จึงมีอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร โดยมีผลบังคับใช้ทันที รวมทั้งได้รายงานให้รัฐบาล และผู้บังคับบัญชารับทราบทุกประการ ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญมาตรา 188 วรรคสอง ระบุว่ากรณีที่จำเป็นต้องประกาศกฎอัยการศึก ทหารสามารถทำได้ตามกฎหมายว่าด้วยพ.ร.บ.กฎอัยการศึก
ขณะที่ พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงความเชื่อมั่นหลังประกาศใช้กฎอัยการศึก ว่า
สองวันที่ผ่านมาหลังจากประกาศใช้กฎอัยการศึกประชาชนและผู้ประกอบการทั้งไทย และต่างประเทศ ยังสามารถดำเนินกิจการต่างๆได้ตามปกติ เศรษฐกิจไม่ได้หยุดชะงัก ซึ่งทางกอ.รส.จะให้การดูแลสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสม และพร้อมปกป้องดูแลผลประโยชน์ของทุกชาติที่อยู่ในประเทศให้ดำเนินกิจการได้ต่อเนื่อง สำหรับการดูแลความปลอดภัยสถานทูตต่างๆ หากสถานทูตใดต้องการขอกำลังเจ้าหน้าที่ของกอ.รส.เพื่อรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม กอ.รส.ก็ยินดีให้การสนับสนุน ส่วนการเผยแพร่ข่าวสารทางอินเตอร์เน็ต ขณะนี้ที่มีเว็บเพจของกอ.รส. ขอยืนยันว่ากอ.รส.ยังไม่ได้ดำเนินการจัดตั้งเว็บเพจใดๆทั้งสิ้น ขอให้ระมัดระวังการเผยแพร่ และอย่าแต่งเติมข้อมูล อย่านำเอาประกาศคำสั่งลงในเว็บเพจดังกล่าว ไม่เช่นนั้นกอ.รส.จะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ส่วนเว็บเพจอย่างเป็นทางการขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่
เมื่อถามถึงการรักษาความปลอดภัยให้กับสถานทูตต่างๆในประเทศไทย พ.อ.วีรชน สุคนธปฏิภาค
รองโฆษกทบ. กล่าวว่า หลังจากประกาศกฎอัยการศึกทางสถานทูตได้ติดต่อสอบถามเข้ามา แต่ยังไม่มีการขอกำลังเจ้าหน้าที่ทหารเข้าดูและรักษาความปลอดภัยอย่างไร อย่างไรก็ตามในการเชิญทูตานุทูตประเทศต่างๆที่ประจำประเทศไทย เข้ารับฟังแนวทางการปฏิบัติหน้าที่ของกอ.รส. ในเวลา 10.00 น. ที่สโมสรทหารบก ถ.วิภาวดี จะมีพล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รองผบ.ทบ.ในฐานะผอ.รส. เป็นประธานการประชุม จะได้ชี้แจงให้ทราบ.