มจร.ยันนาตาลี ไม่เคยมาเรียน พระครูออกมาแฉ โพสต์ขอโทษ
มหาจุฬาฯยัน นาตาลีไม่เคยมาเรียนมจร. พร้อมเปิดหอพักพิสูจน์ ผอ.กองกิจการนิสิตเผยเคยมาอยู่กับเพื่อน 2-3 วันเมื่อปีก่อน ส่วนพระครูที่ออกมาแฉ โพสต์ขอโทษยอมรับ นาตาลีไม่ใช่นิสิตมจร. พร้อมให้สัมภาษณ์ ออกมาพูดเพื่อป้องศาสนา ไม่เจตนาทำ มจร.เสียหาย พร้อมรับผิดคนเดียว
จากกรณีที่นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ได้รับการร้องเรียนจากสมาชิกเครือข่ายถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพระสงฆ์ ที่อ้างว่าชื่อน้องโฟกัส ฉายานาตาลีร้อยหน้า มีการแสดงพฤติกรรมผ่าน ทางเฟซบุ๊ก ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าพระสงฆ์รูปที่ถูกร้องเรียนใช้ชื่อทางเฟซบุ๊ก ว่า "นู๋ร๊ากผัวเขา ผัวเขาก้อร๊ากหนู" พบรูปถูกแบ่งเป็น 4 กรอบในรูปเดียวกัน โดย 2 กรอบด้านบนเป็นรูปของบุคคลแต่งกายโดยห่มจีวรคล้ายพระสงฆ์ส่วน 2 กรอบด้านล่างเป็นรูปบุคคลที่มีหน้าตาคล้ายกับพระสงฆ์ในกรอบด้านบน แต่กลับแต่งกายเป็นผู้หญิงใส่วิกผมยาว ใส่เสื้อเกาะอกเอวลอยสีดำ กางเกงขาสั้นสีดำ ทั้งยังเจาะสะดือด้วย
มจร.ยันนาตาลี ไม่เคยมาเรียน พระครูออกมาแฉ โพสต์ขอโทษ
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 19 เม.ย. นายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า
ขณะนี้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ประสานไปยังบุคคลที่ระบุว่าเป็นนาตาลี หรือโฟกัส ซึ่งเป็นเจ้าของเฟซบุ๊ก "นู๋ร๊ากผัวเขา ผัวเขาก้อร๊ากนู๋" ให้เข้ามาพบสำนักพุทธฯ เพื่อสอบถามข้อมูลและข้อเท็จจริงทั้งหมดอย่างละเอียด คาดว่าน่าจะประสานให้เข้ามาพบสำนักพุทธฯ ในวันจันทร์ที่ 21 เม.ย.นี้ ขณะเดียวกันกำชับให้เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบข้อมูลอีกส่วนที่ระบุว่า นาตาลียังบวชและไม่ได้สึกด้วย โดยให้เจ้าหน้าที่ไปสอบถามกับวัดที่อ้างว่าพระนาตาลีอยู่ คาดว่าภายในเร็วๆ นี้น่าจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม ส่วนที่มีการนำเสนอข่าวว่าเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ให้เจ้าหน้าที่ประสานไปสอบถามแล้วเช่นกัน
ขณะที่พระเมธีธร รมาจารย์ (ประสาร จันทสาโร) รองอธิการบดีฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแผ่ มจร. กล่าวว่า
ขอยืนยันอีกครั้งว่าบุคคลดังกล่าวที่อ้างชื่อว่านาตาลีไม่เคยเรียนมหาจุฬาฯ แน่นอน ล่าสุดได้ให้ตรวจสอบข้อมูลจากฝ่ายทะเบียนอีกครั้ง ก็ไม่พบชื่อ "พระมหาสมชาย" หรือพระมหานภัทร์สรณ์ ส่วนข้อมูลที่พระครูสมุห์ธัชพงศ์ภณ กตปุญโญ ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่หอพักนิสิต มหาจุฬาฯ ระบุว่า เป็นพระนิสิตของมหาวิทยาลัย ห้องเอ 205 นั้น ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบล่าสุดก็ไม่ใช่บุคคลดังกล่าว ขณะนี้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายกิจการนิสิตประสานเชิญพระครูสมุห์ธัชพงศ์ ภณมาสอบถามว่าได้ข้อมูลดังกล่าวมาได้อย่างไร เพื่อนำมาตรวจสอบอีกครั้ง ส่วนเรื่องชื่อจริงของนาตาลีนั้นตนไม่ทราบ
พระมหาวิลัย สมาจาโร ผู้อำนวยการกองกิจการนิสิต สำนักงานอธิการบดี มจร. พา ผู้สื่อข่าวตรวจสอบหอพักของนิสิต
ซึ่งอยู่ด้านหลังของมหาวิทยาลัย เป็นอาคารสูง 4 ชั้น 2 อาคาร โดยอาคารได้ติดตั้งกล้องวงจรปิด การเข้าออกหอพักต้องใช้ระบบคีย์การ์ด ส่วนที่ห้อง A205 มีป้ายรายชื่อระบุนิสิตที่พักอยู่ 2 รูป ไม่พบรายชื่อของนาตาลี หรือน้องโฟกัส เป็นผู้พักในห้องดังกล่าว และไม่สามารถเปิดประตูเข้าไปยังห้องพักดังกล่าวได้ เนื่องจากพระที่พักในห้องเดินทางกลับวัดที่จำพรรษาอยู่ เพราะเป็นช่วงปิดภาคเรียน
พระมหาวิลัยกล่าวว่า ขอยืนยันว่านาตาลีไม่ใช่นิสิตของมหาวิทยาลัย จากการตรวจอย่างละเอียดตามชื่อที่ปรากฏเป็นข่าว
และ นาตาลีเป็นสามเณรเท่านั้นเคยมาหาเพื่อนซึ่งเป็นพระที่เรียนอยู่ที่ มหาวิทยาลัย ตั้งแต่เมื่อ ปีที่ผ่านมา มาอยู่กับเพื่อนประมาณ 2-3 วันเท่านั้น ระเบียบของหอพักจะห้ามสุภาพสตรีเข้ามาภายในหอพัก มีเวลาปิดเปิด และพระที่จะนำเพื่อนหรือบุคคลภายนอกเข้ามาพักจะต้องมากรอกแบบฟร์อมและลงลาย มือชื่อ ทั้งผู้ที่ขอเข้าพัก และเจ้าของห้องพัก เรามีระเบียบเข้มงวด
"ส่วน ที่พระครูสมุห์ธัชพงศ์ภณอ้างว่าเป็นผู้ดูแลหอพักนิสิต ให้ข่าวว่านาตาลีเป็นนิสิตของมหาวิทยาลัยและพักในห้องดังกล่าว จริงแล้วเป็นเพียงนิสิต และมาช่วยงานของมหาวิทยาลัย ได้พูดคุยแล้วยอมรับว่ามีความขัดแย้งกับตัวนาตาลี จึงได้อ้างไปว่าเป็นผู้ดูแลและให้ข่าวไป หลังจากข่าวออกไปได้สำนึกผิด ได้เข้ามาขอโทษ และจะโพสต์ข้อความขอโทษผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว" พระมหาวิลัยกล่าว
ผู้สื่อข่าวตรวจสอบเฟซบุ๊กของพระครูสมุห์ ธัชพงศ์ภณ ก็ได้โพสต์ข้อความเป็นการขอโทษไว้ว่า
"ขอเจริญพร สื่อมวลชนทุก ท่าน อาตมาภาพ พระครูสมุห์ธัชพงศ์ภณ กตปุญฺโญ ผู้นำเรื่องนาตาลีมาเผยแพร่ต่อสาธารณชน ตามข้อมูลที่เสนอไปทั้งหมดนั้น ว่านาตาลีเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬา ลงกรณราชวิทยาลัย แต่พอทราบภายหลัง นาตาลีไม่ใช่นิสิตของมหาวิทยาลัยสงฆ์ จึงขอยุติการเสนอข่าวในเรื่องนี้ต่อไป และต้องกราบขอขมาที่ล่วงเกินพระเถระผู้ใหญ่และพระผู้บริหารทุกระดับ รวมทั้งพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในพระพุทธศาสนา และพุทธศาสนิกชนที่ได้รับผลกระทบทางด้านลบด้านจิตใจต่อข่าวที่เกิดขึ้นใน ครั้งนี้ และอาตมาภาพเป็นนิสิตจิตอาสาช่วยงานเรื่องการสื่อสารกับนิสิตชาวต่างประเทศ ที่พักในหอพักนิสิต หวังว่าจะได้รับความเมตตาอภัยจากพระสงฆ์ทั้งปวง ตลอดทั้งพุทธศาสนิกชนทั้งประเทศ"
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า จากการสอบถามพระที่พักอยู่ในห้องพักหลายรูปให้การตรงกันว่าเคยพบเห็นนาตาลี ที่จำได้เพราะมีรูปร่างลักษณะออกไปทางเพศหญิง มาพัก 2-3 วัน แล้วไม่ได้มาอีกเลย ส่วนภาพตามข่าวไม่น่าจะเป็นภาพที่ถ่ายในหอพักของมหาวิทยาลัย
ด้าน พระครูสมุห์ธัชพงศ์ภณ กตปุญโญ พระครูฐานานุกรมในพระราชสารธรรมมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจ.มหาสารคาม ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่หอพักนิสิต มจร.
ล่าสุดมาพักอาศัยอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในพื้นที่จ.ชลบุรี เปิดเผยว่า พระ นาตาลี หรือ พระมหานภัทร์สรณ์ หรือ พระมหาสมชาย สังกัดวัด ม.ม้า ชื่อดังในกทม. ได้ลงทะเบียนกับวัดชูจิต จ.พระนครศรีอยุธยาและก็ได้รับพัดยศเปรียญธรรม 3 ประโยค จากวัดโสธรวรวิหาร ทั้งนี้ อาตมาเป็นพระที่ต้องดูแลหอพักและรู้จักนักศึกษาทุกคน โดยนาตาลีก็ยังอยู่ที่หอพักของมจร.วังน้อย ห้อง เอ 205
"พฤติกรรม ของนาตาลีกลางวันเป็นพระมานั่งเรียน แต่ตอนกลางคืนจะมีรถมารับออกไป โดยตอนออกไปยังใส่จีวรพระ พอออกข้างนอกก็จะเปลี่ยนเป็นชุดอื่น ซึ่งที่จริงแล้วนาตาลีสึกออกไปแล้วเป็นเวลา 2 ปี ซึ่งตอนนี้อาตมาถูกโทรศัพท์จากบุคคลลึกลับโทร. มาข่มขู่จะทำร้าย กรณีที่ออกไปเผยแพร่ความจริง จนต้องหลบหนีมาจำวัดแห่งหนึ่งในชลบุรี" พระครูสมุห์ธัชพงศ์ภณกล่าว
พระครูสมุห์ธัชพงศ์ภณกล่าวต่อว่า นาตาลี หรือ พระมหานภัทร์สรณ์ บวชมาตั้งแต่สมัยเป็นเณร จนมาบวชพระตอนโต
ซึ่งจากการคุยและรู้จักค่อนข้างจะออกแนวสาวประเภทสอง ที่อาตมาออกมาพูดเพื่อปกป้องพระพุทธศาสนา ไม่ได้มีเจตนาต้องการให้มหาวิทยาลัยเสียชื่อเสียงแต่อย่างใด เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของตัวบุคคลที่กระทำไม่เหมาะสม หากผิดก็ต้องว่ากันไปตามผิดและไม่อยากให้ปกป้องพระอลัชชีเหล่านี้ ในฐานะพระฐานานุกรมในพระราชสารธรรมมุนี ที่ปรึกษาเจ้าคณะจ.มหาสารคาม
"เครือ ข่ายนาตาลี หรือ พระอลัชชีเหล่านี้ในประเทศไทย ถามว่าวันนี้อาตมาสามารถให้สังคมหรือกฎหมายลงโทษกับบุคคลเหล่านี้ได้ เชื่อว่าผู้ที่คิดจะทำผิดในพระพุทธศาสนาจะกลับตัวกลับใจได้ อาตมาเข้าใจว่าพระผู้ใหญ่หรือเถรสมาคมไม่อยากให้ความลับออกไปสู่สังคมภายนอก ซึ่งจะทำให้ความศรัทธาในประชาชนลดน้อยลง ซึ่งถ้าอาตมาผิดก็จะรับผิดคนเดียว" พระครูสมุห์ธัชพงศ์ภณกล่าว