ตั้งด่านเถื่อนสกัดล็อกตัวชาวอเมริกันซ้อมฉกเงิน 4 แสน นำ
ตัว พันธนาการรีดเงินจากเมียอีก
รวบแก๊งตำรวจจับ นักธุรกิจ เรียกค่าไถ่
บุกรวบแก๊ง ตร.แสบ
ตั้งทีมอุ้มนักธุรกิจค้าน้ำมันชาวอเมริกันเรียกค่าไถ่ 32 ล้านบาท เมียคนไทยเผย ขณะขับรถกลับบ้านจู่ๆ เจอด่านเถื่อนตั้งสกัด ค้นในรถอ้างมียาเสพติด ก่อนพาไปตรวจค้นที่ห้อง ไม่เจอสิ่งผิดกฎหมาย จับสามีซ้อมพร้อมฉกเงินไป 4 แสนดาลล่าร์ เช้าร้อนใจออกตามหา โรงพักพื้นที่เกิดเหตุ ตร.มึนไม่ได้จับใครมาสักคน กระทั่งทีมอุ้มมหากาฬโทรฯมาบอกให้นำเงินไปไถ่ตัว ไม่งั้นเหยื่อจะไม่ปลอดภัย จึงบากหน้าให้โปลิศช่วยจับตำรวจ เผยมี พ.ต.ท.เป็นหัวหน้าแก๊งนำทีมด้วย
บุกจับตำรวจตั้งทีมอุ้มเหยื่อเรียกค่าไถ่
เกิดขึ้นเมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 12 เม.ย. พล.ต.ต.กฤษฎา พันธุ์คงชื่น
เข้าจู่โจมตรวจค้นที่บ้านเลขที่ 162/3 ซอยลาดพร้าว 41 แยก 6 แขวงจันทร เกษม เขตจตุจักร หลังสืบทราบว่า
สถานที่ดัง กล่าวกักขังชาวต่างชาติเพื่อเรียกค่าไถ่ จากการ บุกพังประตูบ้าน 2 ชั้น ที่ห้องชั้นบนพบ ด.ต.สุรชาติ เมืองขุนรอง อายุ 55 ปี ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สน.ห้วยขวาง นายนิโครลัส พฤกษ สุกาญจน์ อายุ 25 ปี ลูกครึ่งไทย-อเมริกัน โดยทั้งสองกำลังนั่งเฝ้าคุมตัวนายมาร์ค สตีเฟน ฮัทเชอร์ สัน อายุ 46 ปี นักธุรกิจชาวอเมริกัน ทำธุรกิจค้าน้ำมัน สภาพอิดโรยขาซ้ายถูกล่ามโซ่ติดกับเก้าอี้ ส่วนมือถูกพันธนาการด้วยกุญแจมือตำรวจอย่างแน่นหนา โดยมีหน้ากากสีดำคลุมใบหน้าเอาไว้ จึงเข้าควบคุมตัวไว้ เบื้องต้น ด.ต.สุรชาติ อ้างว่า ถูกจ้างให้มาเฝ้าไม่รู้เรื่องอุ้มเรียกค่าไถ่แต่อย่างใด
ด้าน พล.ต.ต.กฤษฎา กล่าวว่า
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา นางสุขหรรษา สตีเฟน ฮัทเชอร์สัน อายุ 35 ปี ได้ เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.โชติวัฒน์ เหลืองวิลัย สว.สส.สน.ลุมพินี ว่า เมื่อเวลา 05.00 น. วันเดียวกัน ขณะที่ตนขับรถกลับที่พักห้อง 14 บี อาคารเศรษฐีวัณคอนโด เลขที่ 233 ซอยสุขุมวิท 4 ถนนสุขุมวิท แขวง-เขตคลองเตย จู่ ๆ มีกลุ่มชายฉกรรจ์ 5-6 คน แต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่านตรวจ หลังค้นรถอ้างว่านางสุขหรรษา มียาเสพติดไว้ในครอบครอง จึงนำกำลังเข้าค้นห้องพัก
โดยนายมาร์คนอนอยู่ที่ห้อง
จากการตรวจค้นไม่พบของผิดกฎหมายกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ได้ซ้อมนายมาร์ค พร้อมนำเงินไป 4 แสนเหรียญ ก่อนพาตัวหายไป ต่อมากลุ่มคนร้ายได้โทรฯ มาข่มขู่เรียกค่าไถ่อีก 8 แสนเหรียญ (32 ล้านบาท) เพื่อไถ่ตัวนายมาร์ค เมียเห็นท่าไม่ดีจึงเข้าแจ้งความก่อนจับกุมได้ดังกล่าว เบื้องต้นแจ้งข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรรโชกทรัพย์ กักขังหน่วงเหนี่ยวและเรียกค่าไถ่
นางสุขหรรษา ให้การอีกว่า
เช้าวันรุ่งขึ้นด้วยความเป็นห่วงตนจึงออกตามหาสามีที่โรงพักลุมพินี ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบ แต่กลับไม่พบ สอบถามเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนทุกคนยืนยันว่า ไม่มีการจับกุมชาวต่างชาติมาแต่อย่างใด ทำเอาตนถึงกับพูดอะไรไม่ออก จากนั้นได้ปรึกษากับ พ.ต.ท. โชติวัฒน์ เนื่องจากเกรงว่าสามีจะอยู่ในอันตราย ซึ่งเจ้าหน้าที่แนะนำว่าหากมีข้อมูลอะไรให้รีบแจ้งทันที
กระทั่งเมื่อตนกลับไปที่ห้อง จู่ ๆ เสียง โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เมื่อรับปลายสายเป็นเสียงผู้ชายไม่ทราบว่าใคร ถามตนว่าเป็นเมียนายมาร์คหรือเปล่า ตนก็ตอบไปว่าใช่ ก่อนที่อีกฝ่ายจะบอก ว่าขณะนี้ได้จับกุมสามีตนไปเรียกค่าไถ่ หากไม่ นำเงินจำนวน 8 แสนดอลลาร์ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 32 ล้านบาท มาไถ่ตัวจะไม่รับรองความปลอดภัยของสามีตน หลังนั่งคิดอยู่นานจึงรีบนำเรื่องบอกกับตำรวจ
เบื้องต้นจากการตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดของอาคารดังกล่าว
พบตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องคือ ส.ต.อ.สถิตย์ ประสันแพงศรี อายุ 36 ปี ตำรวจสังกัด 191 ส.ต.ต.ประเสริฐพันธ์ ภูนาฤทธิ์ อายุ 29 ปี คอมมานโดกองปราบฯ อีกทั้งได้เช็กจากสมุดบัญชีธนาคารเงินที่ถูกโอนไปจนทราบต้นตอ ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้นำหมายศาลแขวงพระโขนง เลขที่ ส.382/2550 ลงวันที่ 10 เม.ย. เข้า จับกุมทั้งสองได้โดยละม่อม เบื้องต้นสอบสวนทั้งสองให้การปฏิเสธ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องอุ้ม เรียกค่าไถ่ โดยอ้างว่า มีตำรวจคนหนึ่งเป็นคนติดต่อประสานมา บอกว่าเหยื่อเป็นหัวหน้าแก๊งหา กินเกี่ยวกับสินค้าลิขสิทธิ์ พวกตนเลยเข้าไปช่วยจับกุม ก่อนจะส่งให้กับกลุ่มฝรั่งอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่ง ตนก็ไม่ทราบรายละเอียดเหมือนกัน โดยได้ค่าจ้างคนละ 2 แสนบาท
ทั้งนี้จากการสืบสวนทางลึกทราบว่า
มีตำรวจยศ พ.ต.ท.คนหนึ่ง เป็นหัวหน้าแก๊ง โดยมีลูกน้องร่วมงานหลายคน ขณะนี้ได้หลบหนีออกนอกพื้นที่แล้ว
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์