"แรมโบ้อีสาน" เปิดใจยันไม่รู้เห็นพี่ชายร่วมขบวนการมอดไม้พะยูง ลั่นตัดขาดกันนานแล้ว วอนฝากให้สงสารแม่และครอบครัวบ้าง
เมื่อวันที่ 29 ม.ค. ที่ห้องประชุมลีลาวดี สภ.เสิงสาง อ.เสิงสาง จ.นครราชสีมา นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง แถลงข่าวกรณี นายสุเชษฐ อัตถาวงศ์ อายุ 58 ปี พี่ชาย ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีร่วมกันกับพวกขนไม้พะยูงและติดสินบนเจ้าหน้าที่เป็น เงินจำนวน1.5 ล้านบาท ว่า ขอยืนยันว่าตัวเองและครอบครัวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดของนายสุ เชษฐฯพี่ชายใดๆทั้งสิ้น เนื่องจากขาดการติดต่อกันมานานแล้วและต้องการให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเร่ง ขยายผลติดตามตัวกลุ่มนายทุนที่อยู่เบื้องหลังมาดำเนินคดีตามกฏหมายอย่าง เฉียบขาด ในส่วนของพี่ชายตนเอง ก็อยากให้สำนึกกับสิ่งที่ทำยอมรับความผิดที่ก่อไว้และอยากให้ร่วมมือกับเจ้า หน้าที่ตำรวจเพื่อติดตามตัวนายทุนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมดมาดำเนินคดีตาม กฏหมาย
นายสุภรณ์ กล่าวต่อว่า อยากชี้แจ้งในสิ่งที่เกิดขึ้นมาเป็นที่รู้กันดีของคนนพื้นที่และหน่วย งานราชการภาครัฐว่าตนเองเข้มงวด
และเอาจริงเอาจังกับกลุ่มขบวนการบุกรุกป่า พื้นที่อย่างมาก เคยเป็นเลขาธิการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม ซึ่งที่ผ่านมาได้ทราบข่าวว่ามีพี่น้องประชาชนนับพันราย เข้าไปบุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน ทำให้ทรัพยากรป่าไม้สูญเสียไปมหาศาลตนเองก็เป็นผู้ที่เข้าไปเจรจาให้ ประชาชนกลุ่มนั้นออกมาจากพื้นที่ซึ่งก็ทำได้สำเร็จมาแล้ว ตนเองประกาศจุดยืน ชัดเจนตั้งแต่ได้รับการเลือกตั้งผ่านการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมา 3 สมัย ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้กำชำข้าราชการที่อยู่ในพื้นที่ อ.ครบุรี และ อ.เสิงสาง ในทุกระดับ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ติดกับเขตอุทยานแห่งชาติทับลานว่าห้ามให้มีการตัด ทำลายป่าในพื้นที่อย่างเด็ดขาดรวมไปถึงปัญหาด้านอื่นๆอย่างเช่นยาเสพติด เป็นต้น
"ไม่ว่าหากเป็นบุคคลใด ไม่ว่าจะเป็นหน้าอินทร์หน้าพรหมคนไหนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกระทำความผิดจะ ต้องถูกดำเนินการอย่างเด็ดขาด รวมถึงยังได้สั่งการกำชับห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอย่าง เด็ดขาดเช่นเดียวกันรวมไปถึงวงษาคณาญาติของตัวเอง ซึ่งยอมรับว่าตนเองมีญาติ พี่น้องในพื้นที่ อ.ครบุรี และ อ.เสิงสางเป็นจำนวนมากเพราะตัวเองเป็นคนพื้นที่มีครอบครัวอยู่ที่นี่ ซึ่งหากบรรดาญาติกระทำความผิดก็ต้องยอมรับผิดเช่นเดียวกับบุคคลอื่น เรื่องร้องเรียนถูกกลั่นแกล้งหรือเรื่องช่วยเหลือที่พอช่วยกันได้ตนเองก็จะ ช่วยแต่ถ้าเรื่องใดผิดกฏหมายจะไม่มีคำว่าญาติพี่น้องเด็ดขาด ไม่มีการช่วยเหลือแม้แต่เม็ดงา เม็ดทราย เรื่องนี้ถามเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในพื้นที่ดูได้" นายสุภรณ์ กล่าว
นายสุภรณ์ กล่าวอีกว่า ยอมรับว่าเป็นพี่ชายของตนเองจริง แต่ไม่ได้ติดต่อและพบเจอกันมานานมากแล้วเนื่องจากพี่ชายคนนี้ได้แยกครอบครัว หายหน้าไปนานแล้ว
ไม่เคยเข้ามาที่บ้านไม่เคยโทรศัพท์ติดต่อกัน เพราะว่าพี่ชายคนนี้เป็นพี่ชายที่ดื้อไม่ค่อยเชื่อฟังพี่น้องและครอบครัว ในขณะเดียวกันตัวเองลงสมัคร สส.ครั้งใดพี่ชายคนนี้ก็จะไปอยู่ฝั่งตรงกันข้ามตลอด ดังนั้นความจริงที่ว่า นายสุเชษฐฯ เป็นพี่ชายหรือไม่นั้นยอมรับว่าเป็นพี่ชายตัวเองจริง แต่หากทำผิดกฏต้องถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย ตนเองไม่เข้าไม่ยุ่งและไม่ได้ไปประกันตัวด้วยซ้ำสิ่งที่เกิดขึ้นมีความผิด จริงก็ต้องว่าไปตามกระบวนการของกฏหมายเพราะตนเองเป็นผู้ยึดหลักกฏหมายอย่าง เข้มข้นและชัดเจนซึ่งความผิดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของคนๆเดียวตนเองและ สมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆทั้งสิ้นอยากชี้แจงให้พี่ น้องประชาชนและสังคมได้รับทราบถึงข้อเท็จจริงนี้
"ฝากไปถึงพี่ชายว่า ขอให้สำนึกกลับตัวกลับใจและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อที่จะ ขยายผลไปถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังตัวนายทุนใหญ่ที่ว่าเป็นชาวเวียดนาม ซึ่งผมเองก็พอได้ยินข่าวมานานแล้ว รวมถึงกลุ่มขบวนการลักลอบตัดไม้ทั้งหมดเอามาดำเนินคดีตามกฏหมายให้ได้ สิ่งที่เคยทำผิดมาก็ต้องยอมรับผิดยอมรับโทษตามกฏหมาย สำนึกสิ่งที่ทำ ขอให้สงสารแม่บ้าง แม่อายุมากแล้ว 80 ปี แล้วอย่าทำให้แม่ต้องเสียใจครอบครัวต้องเสียหายอีกเลย" นายสุภรณ์ฯ กล่าว