ศาลประจวบคีรีขันธ์นัดคู่ความเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน “หมอนิ่ม” หลังพ่อ“เอ็กซ์ จักรกฤษณ์” ยื่นคำร้องจัดการมรดกลูกชายเพียงผู้เดียว
เมื่อวันที่ 27 ม.ค.เวลา14.00 น.ที่บัลลังก์ 6 น.ส.ศิรประภา ตันติรัตนโอภาส ผู้พิพากษาศาล จ.ประจวบคีรีขันธ์ ได้พิจารณาคดีแพ่ง
หมายเลขคดีดำที่597/2556 หลังจากเมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2556 นายมานพ พณิชย์ผาติกรรม อายุ 67 ปี อยู่บ้านเลขที่ 34 ซอยเพชรเกษม 25/2 ถนนเพชรเกษม เขตภาษีเจริญ กทม. เป็นบิดาของ นายจักรกฤษณ์ หรือเอ็กซ์ พณิชย์ผาติกรรม อดีตนักแม่นปืนทีมชาติที่ถูกยิง เสียชีวิต ได้เดินทางมายื่นเป็นผู้จัดการมรดกต่อศาล จ. ประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากก่อนหน้านี้นายจักรกฤษณ์ ได้ย้ายสำเนาทะเบียนบ้านมาอยู่ที่บ้านเลขที่ 452 หมู่ 1 ต.กุยบุรี อ.กุยบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งมีนายสำเภาประจวบเหมาะ อดีต สส.ประจวบคีรีขันธ์ 9 สมัยเป็นเจ้าบ้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการพิจารณาสำเนาคำร้องผู้จัดการมรดก นายมานพต้องการให้ศาลมีคำสั่งให้เป็นผู้จัดการมรดกของบุตรชายเพียงฝ่ายเดียว
ต่อมาศาลได้รับคดีไว้พิจารณาและส่งสำเนาคำร้องให้ผู้มีส่วนได้เสีย ได้รับทราบและนัดไต่สวนคำร้อง สำหรับการพิจารณาคดีดังกล่าว มีทีมทนายความ ของฝ่ายผู้ร้องได้นำนายมานพมาให้ปากคำต่อศาล ขณะเดียวกัน พญ.นิธิวดี ภู่เจริญยศ หรือหมอนิ่ม ภริยาของเอกซ์ ได้มอบอำนาจให้ทีมทนายความเดินทางมาคัดค้านการยื่นคำร้อง โดยทนายความฝ่าย พ.ญ. นิธิวดีต้องการให้มีคำสั่งศาลเพื่อตั้งผู้จัดการมรดกร่วม
ต่อมาผู้พิพากษาได้ไกล่เกลี่ยเพื่อให้การแบ่งปันทรัพย์สินมีข้อยุติโดย เร็ว เนื่องจากคดีมีแนวโน้มที่จะตกลงกันได้ โดยเสนอให้คู่ความร่วมกันสรรหาหาบุคคลที่ 3มาเป็นคนกลางในการเจราจา แต่นายมานพไม่ยินยอมโดยอ้างเหตุผลหลายประการ
ศาลจึงนัดคู่ความมาพร้อมกันเพื่อสืบพยานครั้งแรก ในวันที่ 20 มี.ค. นี้โดยขอให้ทีมทนายความฝ่ายผู้ร้องรวบรวมบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดที่มีร่วมกัน
ในระหว่างระหว่างนายจักรกฤษณ์ และ พ.ญ.นิธิวดี ซึ่งเป็นสามีภรรยา แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส เพื่อนำมาเปิดเผยต่อศาล หากคู่ความมีการเจรจาในการแบ่งทรัพย์สินได้ก่อนที่จะมีการพิจารณคดีก็จะเป็น ประโยชน์กับทุกฝ่าย ทั้งนี้ พ.ญ.นิธิวดี ได้เดินทางมาที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ไม่ได้เดินทางมารับฟังการพิจารณาคดีแต่อย่างใด
ด้านนายมานพ กล่าวว่า สาเหตุที่คัดค้านการตั้งผู้จัดการมรดกร่วมเนื่องจาก พ.ญ.นิธิวดี และมารดา ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีจ้างวานฆ่าบุตรชาย
รวมทั้งยังมีคดีที่มีการแจ้งความคดี ลักทรัพย์และปลอมแปลงเอกสาร ที่สน.บางชัน หลังจาก พ.ญ.นิธิวดี ไปเปิดตู้เซฟของธนาคารกสิกรไทย สาขาบางชัน กทม.โดย พ.ญ.นิธิวดีไม่มีอำนาจ และ ต่อมาเจ้าหน้าที่ธนาคารได้นำเป็นแผ่น ซีดี ที่บันทึกจากกล้องวงจรปิดที่บันทึกภาพทรัพย์สินในตู้เซฟมามอบให้ตน เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
“ ส่วนตัวยืนยันว่าไม่ได้ต้องการทรัพย์สินของบุตรชาย เนื่องจากมีอายุมากแล้ว สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้แม้ว่าไม่มีฐานะร่ำรวย แต่ต้องการให้เกิดความเป็นธรรมกับทรัพย์สินของบุตรชาย และทรัพย์สินที่ใช้ชื่อร่วมกับหมอนิ่มทั้งบ้าน และ รถยนต์อีกหลายคัน เนื่องจากสงสัยว่าทำไมต้องนำพระเครื่องจำนวนมากที่มีมูลค่ากว่า 30 ล้าน โดยนำออกไปจากตู้เซฟของธนาคาร นอกจากนั้นยังมีกรอบพระเครื่องทองคำฝังเพชร ทองคำแท่งน้ำหนักกว่า 200 บาท และทองรูปพรรณ ก่อนหน้านี้หมอนิ่มได้พยายามนำหลานมาพบที่บ้านแต่ได้ปฏิเสธเพราะผมไม่ใจอ่อน นอกจากนั้นหลังจากลูกชายเสียชีวิตก็ไม่ได้เจอกับหมอนิ่มอีกและทางที่ดีไม่ ควรมาเจอผมและครอบครัวเป็นอันขาด “ นายมานพกล่าว