เครดิตบูโรศึกษาหาทางลดระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลการเงินของลูกหนี้จาก 5 ปี เหลือแค่ 3 ปี
รายงานข่าวจาก คณะกรรมการข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) ระบุว่า ขณะนี้เครดิตบูโรกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาทบทวนระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลประวัติสินเชื่อของลูกค้าสถาบันการเงิน ซึ่งเดิมมีการกำหนดการจัดเก็บข้อมูลสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อบัตรเครดิต 3 ปี ส่วนประวัติสินเชื่อที่มีหลักประกัน กำหนดเก็บประวัติข้อมูล 5 ปี หลังจากที่มีการชำระหนี้สินเสร็จสิ้นแล้วให้สั้นลงเหลือเก็บข้อมูลแค่ 3 ปี
คณะกรรมการได้ให้กรอบแนวทางการศึกษาว่า ถ้าหากมีการปรับลดระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลสินเชื่อทุกประเภทลงมาแค่ 3 ปี จะมีผลดีผลเสียต่อระบบการเงินอย่างไร เพราะเห็นว่าระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลลูกค้าสินเชื่อ 3 ปี ก็น่าจะเพียงพอที่จะให้สถาบันการเงินนำไปวิเคราะห์สินเชื่อแก่ลูกค้าได้
นอกจากนี้ ยังให้ศึกษาเปรียบเทียบระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลเครดิตบูโรของไทยเทียบเคียงกับประเทศต่างๆ
รวมทั้งให้กำหนดระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลให้ง่ายและเข้าใจง่าย สามารถที่จะอธิบายให้ประชาชนเข้าใจ และไม่มีผลกระทบต่อการวิเคราะห์หรือพิจารณาสินเชื่อ นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ กล่าวว่า สินเชื่อบุคคลกับนิติบุคคลต่างกัน เนื่องจากสินเชื่อนิติบุคคล เช่น การสร้างโรงงานระยะเวลาการขอสินเชื่อจะยาว ซึ่งในช่วง 1-2 ปีแรก จะอยู่ในช่วงก่อสร้าง อาจจะไม่มีรายได้ หรือหากประสบปัญหาไม่สามารถชำระหนี้ได้ และกว่าจะมีรายได้ก็ปีที่ 4-5 ดังนั้นหากเก็บข้อมูลการเงินไว้แค่ 3 ปี อาจจะไม่เพียงพอที่จะนำไปวิเคราะห์สินเชื่อได้ อย่างไรก็ตาม ต้องรอผลการศึกษาก่อน
กรณีที่ลูกค้าถูกปลดล้มละลายในช่วง 60 เดือน หรือ 5 ปี สถาบันการเงินจะยังต้องส่งข้อมูลยอดหนี้ทั้งหมด
แต่จะมีการบันทึกว่าอยู่ระหว่างการดำเนินทางคดีก่อน หลังจากนั้นอีก 3 ปีไปแล้ว ข้อมูลลูกหนี้ก็จะถูกปลดออก ซึ่งก็มีบางคนที่ไม่เข้าใจว่า ถ้าถูกปลดจากการเป็นบุคคลผู้ล้มละลายแล้ว ข้อมูลในเครดิตบูโรจะลบออกไปด้วย
ทั้งนี้ ในปี 2555 เครดิตบูโรมีสมาชิก 78 ราย และบัญชีสินเชื่อ 67 ล้านบัญชี แบ่งเป็นบัญชีสินเชื่อนิติบุคคล 23 ล้านบัญชี และบัญชีส่วนบุคคล 44 ล้านบัญชี ทั้งหมดนี้มียอดการค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป จำนวน 1.6 ล้านบัญชี
ปีนี้เครดิตบูโรมีแผนที่จะนำข้อมูลประวัติทางการเงินมาทำข้อมูลเชิงสถิติ เพื่อสะท้อนแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของอัตราการผิดนัดชำระหนี้โดยรวมของประเทศให้รับทราบเป็นรายไตรมาส