ข่าวร้าย! ขึ้น"แอลพีจี"ขนส่ง63สต.พรุ่งนี้ - ข่าวดี! ลดราคา“โซฮอล์” 50สต. มีผลหลังเที่ยงคืนนี้
นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ว่า ที่ประชุมพิจารณาปรับเพิ่มราคาแอลพีจีขนส่งอีก 0.63 บาทต่อกิโลกรัม(กก.) จากเดิมราคา 22.00 บาทต่อกก. เป็น 22.63 บาทต่อกก. มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2557 ส่งผลให้ราคาเท่ากับแอลพีจีภาคครัวเรือน เพื่อป้องกันการลักลอบใช้แอลพีจีข้ามกลุ่ม
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังพิจารณาถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกพบว่ามีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
และเพื่อให้ราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศได้ปรับตัวสะท้อนตามกลไกตลาดจึงได้ขอความร่วมมือไปยังผู้ค้าน้ำมันให้พิจารณาลดราคาขายปลีกน้ำมันเบนซิน95และน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 และแก๊สโซฮอล์ 91 ประมาณ 50 สตางค์ต่อลิตรลงเพื่อลดค่าครองชีพให้กับผู้บริโภค
ล่าสุด ปตท.และ บางจาก ประกาศลดราคาน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ 95 และ 91 ลงลิตรละ 50 สตางค์ มีผลตั้งแต่เวลา 00.01 ของพรุ่งนี้(21 ต.ค.) ส่วนน้ำมันดีเซล อี 85 และ อี20 คงเดิม ไม่มีการปรับลด
ส่วนน้ำมันดีเซลนั้น กบง.เห็นชอบปรับเพิ่มอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซลขึ้น 0.70 บาทต่อลิตร จากเดิม 3.00 บาทต่อลิตร เป็น 3.70 บาทต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคม 2557 โดยไม่ส่งผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล โดยน้ำมันดีเซลยังคงอยู่ที่ 29.39 บาทต่อลิตร ซึ่งการปรับเพิ่มเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของดีเซลนี้เพื่อต้องการให้ฐานะของกองทุนน้ำมันฯ เป็นบวกเร็วขึ้นและสามารถดำเนินการปรับโครงสร้างราคาพลังงานในอนาคต
นายณรงค์ชัยกล่าวว่าผลจากการปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯของน้ำมันดีเซลครั้งนี้จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2557
ฐานะสุทธิติดลบประมาณ 1,985 ล้านบาท มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น โดยจะมีรายรับ 332.98 ล้านบาทต่อวัน รายจ่าย 125.75 ล้านบาทต่อวัน คิดเป็นรายรับสุทธิ 207.21 ล้านบาทต่อวัน ดังนั้นจึงคาดว่ากองทุนน้ำมันฯจะกลับมาเป็นบวกภายใน10 วัน และหลังจากนั้นกองทุนน้ำมันจะมีรายรับ 6,216 ล้านบาทต่อเดือน ส่วนกองทุนน้ำมันฯจะต้องมีเงินสะสมเท่าไรยังไม่สามารถระบุได้ แต่กองทุนน้ำมันฯจะต้องทำหน้าที่อุดหนนราคาในช่วงที่น้ำมันมีราคาผันผวน และช่วยส่งเสริมภาคเกษตรในเรื่องของพลังงานทดแทน อาทิ เอทานอลและไบโอดีเซล
นายณรงค์ชัยกล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)วันที่22ตุลาคม ว่า
จะมีการปรับโครงสรัางพลังงานซึ่งต้องพิจารณาเพราะเชื้อเพลิงมีหลายชนิด โดยนโยบายของพลังงานจะทำให้เชื้อเพลิงที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันต้องมีเสียภาษีเหมือนกัน เพื่อความเท่าเทียม ส่วนผลกระทบผู้มีรายได้น้อยก็ต้องพิจารณาช่วยเหลือ อาทิ การกำหนดราคาแอลพีจีขนส่งและครัวเรือนนั้น แม้วันนี้จะสามารถปรับราคาเท่ากันได้ แต่ปลายทางต้องสะท้อนต้นทุนที่คำนวณจากราคาตลาดโลกเฉลี่ยกับราคาที่จัดหาในประเทศ ส่วนก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์มีความจำเป็นต้องปรับราคาเพราะปัจจุบันไม่สะท้อนต้นทุนจริง แต่ต้องให้เวลาผู้ประกอบการขนส่งที่เพิ่งเปลี่ยนเป็นระบบเอ็นจีวี ไม่เช่นนั้นจะเป็นการลงโทษหรือเพิ่มภาระต้นทุนที่เร็วเกินไป